คุณคิดไว้ไหมครับว่า จะยิง Ads. ทำแคมเปญส่งโปรโมชั่น ลด-แลก-แจก-แถม ไปจนถึงเมื่อไหร่ ?
หากวันหนึ่งอยาก ‘หยุด’ ทำ Marketing ไป… แบรนด์จะไปต่อได้ไหม หรือจะยืนให้มั่นคงได้อย่างไรในอนาคต
ตั้งแต่ผมให้คำปรึกษาให้กับธุรกิจ SMEs มามากกว่า 10 ปี บอกได้เลยครับว่ากว่า 90% ของธุรกิจ SMEs จะเน้นทำ Marketing เข้มข้นกันมากๆ เพราะต่างก็โฟกัสที่ยอดขายเป็นหลัก ซึ่งก็ไม่ได้หมายความว่าผิดนะครับ ผมทราบดีว่าในยุคดิจิทัลแบบนี้ หากหลีกหนีการทำ Marketing ธุรกิจก็คงไปไม่รอดกันแน่ๆ
ทว่าในขณะเดียวกัน หากทุกแบรนด์ทุกธุรกิจ ต่างทุ่มเงินยิง Ads. ส่งโปรโมชัน ลด แลก แจก แถม ให้ลูกค้ากันรัวๆ แต่ผลลัพธ์ที่ได้ กลับไม่เป็นไปตามที่คาดหวังหรือตั้งเป้าหมายไว้… จะด้วยเหตุผลยิง Ads ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย แคมเปญไม่น่าดึงดูด หรือโปรโมชันไม่มากเท่าเจ้าอื่นๆ ซึ่งนั่นก็เท่ากับว่าแคมเปญที่ทำไป โปรโมชันที่วางแผนไว้ รวมถึงเงินก้อนใหญ่ที่ทุ่มเทไป เหมือนละลายไปกับน้ำทั้งหมด
ซึ่งสิ่งที่จะช่วยให้ SMEs สร้างยอดขาย กระตุ้นความสนใจ และดึงดูดลูกค้าได้ไม่แพ้การทำ Marketing นั่นก็คือ ‘การสร้างตัวตน’ หรือ ‘ภาพลักษณ์’ หรือที่เราเรียกกันว่า “Branding” นั่นเองครับ
แน่นอนว่า เจ้าของธุรกิจ SMEs หลายคนอาจจะวาง Branding ให้เป็นเรื่องท้ายๆ จัดในหมวด ‘ค่อยทำ’ แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่ผมถามว่า… “คุณอยากขายสินค้าที่มีอยู่ดาษดื่นในราคาที่แพงขึ้นไหม?” “อยากขายได้โดยไม่ต้องทำโปรโมชันลดราคา” “อยากลดงบยิงแอด ค่าโฆษณาเดือนละเป็นแสนๆกันหรือเปล่า?”
คำตอบที่ได้ก็เป็นคำว่า ‘อยาก’ ถูกไหมครับ… แต่มันจะเป็นไปได้ไหม? ทำแล้วจะมั่นใจได้ยังไงว่า “ลูกค้าจะซื้อ” ในเมื่อที่ผ่านมา คุณอัดโปรโมชันอย่างเดียว โดยที่ไม่ได้สร้าง Value ให้กับแบรนด์ ให้ลูกค้าได้รู้จัก ‘ตัวตนของคุณ’ เลย
สำหรับ SMEs โดยเฉพาะคนที่อยากเริ่มทำธุรกิจใหม่ๆ ผมขอแนะนำแบบนี้ครับ… ในเมื่อเราทิ้งการทำ Marketing ไม่ได้ เพราะยังเป็นสิ่งที่จำเป็นอยู่ในยุคนี้ ให้ลองดึง Net Profit Margin ของคุณออกมาก่อน 30% สำหรับทำ Marketing และให้แบ่ง 10% จากใน 30% ดังกล่าว มาหยอดกระปุกไว้ใช้สำหรับทำ Branding ก็ได้ครับ (ในที่นี้สำหรับเจ้าของธุรกิจที่มั่นใจว่าจะต้องจัดสรรงบประมาณยังไงดีสำหรับการทำ Branding นะครับ ซึ่งสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมของธุรกิจคุณได้เช่นกัน)
แล้ว Branding จะคุ้มค่ากับเงินที่หยอดกระปุกไว้แค่ไหน ขอสรุปไว้ 3 ข้อสั้นๆ ดังนี้ครับ
1. เมื่อ Branding ชัด จนลูกค้าเข้าใจ
คุณจะเจอกลุ่มลูกค้าที่มี Identity หรือเทสต์เดียวกันกับคุณ นั่นหมายความว่า ลูกค้าพร้อมที่จะเลือกใช้สินค้าของคุณ เพื่อเป็นส่วนหนึ่งหรือเพิ่ม Identity ให้กับตนเองเช่นกัน
2. ลูกค้าจะจดจำแบรนด์ของคุณได้มากกว่าคำว่า ‘ขายถูก’
เหมือนที่คุณเลือกซื้อเสื้อผ้าแบรนด์ประจำ หรือทานกาแฟร้านเดิมซ้ำๆ จนกลายเป็น Member หรือลูกค้าประจำ แม้สิ่งเหล่านั้นจะมีราคาสูงกว่าแบรนด์อื่นๆ ได้นั่นแหละครับ ซึ่งแปลว่า Branding เพิ่มโอกาสให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำได้มากขึ้นนั่นเอง
3. ในอนาคต หาก Branding ของคุณยังคงความน่าเชื่อถือ ตัวตนของคุณยังไม่ถูกทำให้ Value ลดลง
ไม่ว่าคุณจะออกสินค้าใหม่หรือบริการใด นั่นเท่ากับว่าคุณจะยังคงมีกลุ่มลูกค้าที่เชื่อใจและพร้อมซัพพอร์ตอยู่ ซึ่งอาจจะช่วยลดงบประมาณในการทำ Marketing ในการหาลูกค้าใหม่ ได้อย่างไม่น่าเชื่อ
สำหรับผม… Marketing คือกลยุทธ์ที่จะช่วยให้คุณกระตุ้นยอดขายได้ก็จริง แต่หากวันนึงจำเป็นต้องหยุดทำ Marketing ไป Branding คือสิ่งที่จะทำให้ธุรกิจของคุณ ยืนอยู่ได้อย่างมั่นคงในระยะยาว นั่นเองครับ