ร่วมค้นหาความเป็นไปได้ใหม่ ให้กับธุรกิจของคุณ

พวกเรา NinePolthep และทีม

ให้ NinePolthep ร่วมเป็นคู่คิดทางธุรกิจ

ยกระดับการดำเนินธุรกิจของคุณให้เติบโตอย่างยั่งยืน

อะไรคือเป้าหมายในการทำธุรกิจของคุณ ?

อะไรคือเป้าหมาย
ในการทำธุรกิจของคุณ ?

ความสุข การประสบความสำเร็จ

หรือ ทั้งสองอย่าง ?

ทุกคนล้วนมักจะทุ่มเทมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อทำเป้าหมายของ
ตนให้สำเร็จ เพื่อ “มีความสุข” แต่ปัญหาอยู่ตรงที่…ไม่ใช่
ทุกคนที่จะได้ไปถึง “เป้าหมาย” ในเวลาที่ตั้งใจไว้และหลาย
คนก็ใช้เวลายาวนานมากกว่าที่คิด

ทุกคนล้วนมักจะทุ่มเทมุ่งมั่นตั้งใจเพื่อทำเป้าหมายของตนให้สำเร็จ เพื่อ “มีความสุข” แต่ปัญหาอยู่ตรงที่…ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้ไปถึง “เป้าหมาย” ในเวลาที่ตั้งใจไว้และหลายคนก็ใช้เวลายาวนานมากกว่าที่คิด

เพราะการเป็น “นักวิ่ง” ที่ผ่านการฝึกฝนอย่างมากมายในสนามแข่ง
ทำให้ใน “ชีวิตจริง” NinePolthep หรือ “นาย” มีความเข้าใจและ
ความรู้สึกของการเป็น “นักวิ่ง” จากประสบการณ์ตรงในชีวิตของ
การเป็นผู้ประกอบการ ทั้งการล้มลุกคลุกคลานเพราะอุปสรรครอบ
ด้านที่ต้องฝ่าฟัน จนถึงวันที่ได้สัมผัสถึง “มีความสุข” จากการได้
เข้า “เส้นชัย” ที่ตั้งเป้าหมายไว้

เพราะการเป็น “นักวิ่ง” ที่ผ่านการฝึกฝนอย่างมากมายในสนามแข่ง ทำให้ใน “ชีวิตจริง” NinePolthep หรือ “นาย” มีความเข้าใจและ ความรู้สึกของการเป็น “นักวิ่ง” จากประสบการณ์ตรงในชีวิตของการเป็นผู้ประกอบการ ทั้งการล้มลุกคลุกคลานเพราะอุปสรรครอบด้านที่ต้องฝ่าฟัน จนถึงวันที่ได้สัมผัสถึง “มีความสุข” จากการได้เข้า “เส้นชัย” ที่ตั้งเป้าหมายไว้

"Happiness cannot be traveled to, owned, earned, worn or consumed. Happiness is the spiritual experience of living every minute with love, grace, and gratitude. "Denis Waitley

OUR

SERVICES

"

Business Analysis and Plan :

การวางกลยุทธ์ที่ดีไม่ใช่แค่ สร้างกลยุทธ์ที่ดูดีบนกระดาษ แต่ต้องเป็นกลยุทธ์ที่เข้าใจสภาพแวดล้อมของธุรกิจ พร้อมหา “แนวทางในการปฏิบัติจริง” ให้ได้ผลลัพธ์ที่นำไปสู่ความสำเร็จได้จริง

งานของพวกเราจึงเป็นการช่วยให้เจ้าของธุรกิจและผู้บริหารองค์กร สามารถขับเคลื่อนธุรกิจไปข้าง หน้าผ่านการกำหนดทิศทางของกลยุทธ์องค์กรร่วมกัน ค้นหาทั้งปัจจัยที่เหนี่ยวรั้งองค์กรไว้และปัจจัยที่ผลักดันให้องค์กรเติบโต” จากนั้นจึงสร้างแนวทางการพัฒนาให้องค์กรประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน

Implementation :

แผนธุรกิจดี แต่นำไปปฏิบัติไม่ได้ ก็ไม่เป็นประโยชน์ใดๆกับองค์กร เพราะการนำแผนกลยุทธ์ทั้งทางธุรกิจ แผนการตลาด ตลอดจนแผนการสื่อสารการตลาดไปลงมือปฏิบัติให้เกิดผลลัพธ์ที่สร้างความสำเร็จได้จริงนั้น ประกอบไปด้วย การลงมือทำ การตรวจสอบ ติดตาม ประเมินพร้อมการแก้ไขปรับเปลี่ยนให้ดีขึ้น ที่ต้องมีทั้งความต่อเนื่องสม่ำเสมอ และถูกต้อง ซึ่งทีมงานของ NinePolthep จะทำหน้าที่เป็นทั้งคู่คิด และที่ปรึกษา ที่มีทั้งความรู้และประสบการณ์คอยแบ่งปันตลอดเส้นทางการเดินทางของผู้ประกอบการ

Sustainability :

การสร้างความสำเร็จนั้นว่ายากแล้ว การรักษาความสำเร็จให้คงอยู่นั้นยิ่งยากกว่า สำหรับ SMEs ไม่ว่าจะ ขนาดเล็ก หรือ กลาง ยอดขายสิบล้านไปจนถึงพันล้าน หนึ่งในปัจจัยหลักของทุกบริษัทที่เป็นตัวชี้เป็นชี้ตาย ต่อการอยู่รอด ในระยะยาว คือ เรื่อง ทรัพยากร “คน” จึงเป็นที่มาของการที่ NinePolthep และทีมงาน พัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม ที่สนับสนุนให้ทรัพยากรคนที่ทรงคุณค่าขององค์กร ได้พัฒนาก้าวหน้า ไปในทิศทางที่สอดคล้องกับการเติบโตของธุรกิจไปพร้อมๆกัน เพื่อให้แผนกลยุทธ์ขององค์กร ที่ใช่ ได้ถูกนำไปใช้ ด้วย คนที่ใช่ ในแนวทางที่ใช่ และเกิดเป็นผลลัพธ์ที่ใช่ในที่สุด

"

หลักสูตรที่เปิดสอน

หลักสูตรที่เราเปิดสอน สามารถจัดได้ทั้งแบบ Online แล: 0ffline โดยยึดเอาวัตถุประสงค์ เป้าหมาย ผลลัพธ์ ที่ลูกค้าอยากได้เป็นหลัก

COURSE

Sell Me If You Can

คอร์สที่ครบเครื่องเรื่องของ SALES โดยผู้เชี่ยวชาญด้านการขายกว่า 15 ปี จะทำให้คุณหาจุด PAINPOINT ของลูกค้า และมากไปกว่าการปิดการขายคือการสามารถพิชิตใจลูกค้า

The Canvas Extra

หลักสูตรที่จะสอนให้คุณใช้ CREATIVITY ร่วมกับ LOGICS ในการออกแบบแผนธุรกิจที่ใช้ได้จริง แก้ปัญหาได้จริง และสร้างธุรกิจในจินตนาการให้กลายเป็นจริงขึ้นมาได้

TESTIMONIAL

เสียงตอบรับจากผู้เรียน

Sell Me If You Can

Lorem Ipsum is simply dummy text of the printing and typesetting industry. Lorem Ipsum has been the industry’s standard dummy text ever since the 1500s, when an unknown

Sell Me If You Can

Lorem Ipsum is simply dummy text of the printing and typesetting industry. Lorem Ipsum has been the industry’s standard dummy text ever since the 1500s, when an unknown

THe canvas Extra

Lorem Ipsum is simply dummy text of the printing and typesetting industry. Lorem Ipsum has been the industry’s standard dummy text ever since the 1500s, when an unknown

REVIEWS

facebook
สำหรับหลักสูตร DNARB อาจารย์อธิบายให้เห็นจากภาพกว้างแล้วค่อยๆ เจาะลึกลงรายละเอียด โดย focus ทีละเรื่อง พร้อมยกตัวอย่างเพื่อให้เห็นภาพชัด เนื้อหาที่สอนเน้นให้เห็นถึงแก่นที่นำมาปรับใช้ได้จริง ระหว่างเรียนมีการทำ workshop โดยปรับใช้กับธุรกิจได้ทันที และที่ชอบมากๆ คือเปิดโอกาสให้ทุกคนได้ถามคำถามเต็มที่จริงๆ ค่ะ
facebook
ประทับใจมากค่ะ เข้าใจง่าย เรียนรู้จากตัวอย่างจริง ได้่ซับซ้อน ถือเป็น 1 ในหลักสูตรที่เจ้าของธุรกิจต้องมาเรียนก่อนทำธุรกิจ ทำความรู้จักกับ “จุดชนะ” ของเราก่อนที่จะไปออกแบบโลโก้
facebook
การสอนของครูนายดีค่ะสนุกสอนเเล้วไม่ง่วงเข้าใจอยากให้มีอาจารย์แบบอาจารย์นายในมหาวิทยาลัยหลายๆคน คงจะเรียนสนุกมากๆค่ะ
###อาจารย์เดินเยอะไปหน่อยบางทีหนูไปโฟกัสที่ตัวอาจารย์มากกว่าเรื่องเรียนเลยทำให้หลุดบ้างบางที ###
แต่รวมๆสอนเข้าใจมากค่ะ
facebook
สำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้น คุณจะไม่ได้เริ่มจาก 0% ไม่ต้องเสียเวลาลองผิดลองถูก ครูนายจะทำให้คุณเริ่มจาก 100% เป็นต้นไป หรือคนมีประสบการณ์มาแล้ว ครูนายก็ยังช่วยเติมเต็มและเสริมศักยภาพให้คุณได้อีกด้วย

The ultimate planing solution for busy human who want to reach their personal goals

ภาพบรรยากาศในห้องเรียน Our Public Training and Workshop

TRAINING & CONSULTING
องค์กรที่แข็งแกร่ง ต้องแข็งแรงตั้งแต่พนักงาน

องค์กรที่แข็งแกร่ง
ต้องแข็งแรงตั้งแต่พนักงาน

ติดตามกิจกรรมและข่าวสาร สาระความรู้ จาก NinePolthep

ninepolthep

190

Posts

603

Follower

348

Following

เย็นวันเสาร์ที่ผ่านมา... ผมกับลูกชายวัย 10 ขวบ กำลังเตะฟุตบอลกันอยู่หน้าบ้าน บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นของเขา 
.
เพราะเขาอยากจะฝึกซ้อมให้คล่องก่อนเปิดเทอมหน้า จะได้กลับไปเล่นกับเพื่อนๆ ได้อย่างมั่นใจ หลังจากที่หยุดเล่นไปสองปีกว่า
.
ผมเห็นความพยายามของเขาในทุกลูกที่วิ่งตาม แต่ก็เห็นว่าทักษะหลายอย่างยังไม่เข้าที่ ทั้งการส่งบอล การยิงประตู และโดยเฉพาะ “การจับบอลแรก” ที่มักจะกระฉอกออกไปไกลตัวเสมอ
.
ในวินาทีที่เขาส่งบอลพลาดอีกครั้งแล้วหันมามองผมด้วยแววตาที่เริ่มท้อแท้ ผมในฐานะ “พ่อ” และ “โค้ชจำเป็น” ในขณะนั้น กำลังยืนอยู่บนทางแยกของการสื่อสาร
.
ทางแยกหนึ่ง คือการชี้จุดอ่อนทั้งหมดที่ผมเห็น “การจับบอลก็ยังไม่ดี การส่งบอลก็น้ำหนักขาดไปนะ” ซึ่งแน่นอนว่ามันจะดับฝัน และทำลายความตั้งใจที่เขากำลังพยายามสร้างขึ้นมาใหม่
.
กับอีกทางแยกหนึ่ง คือการให้กำลังใจอย่างเดียว “ไม่เป็นไรลูก เอาใหม่” แต่ลึกๆแล้ว ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ช่วยมอบเครื่องมือให้ลูกได้พัฒนาไปสู่เป้าหมายที่เขาตั้งใจไว้
———
ผมเชื่อว่านี่คือสถานการณ์เดียวกับที่ผู้นำ หรือหัวหน้างานทุกท่านต้องเผชิญ เมื่อทีมงานกำลังพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ พวกเขามีความตั้งใจเต็มร้อย แต่ผลงานยังเต็มไปด้วยข้อ
.
เราจะให้ Feedback อย่างไร ที่จะไม่ทำลายกำลังใจ... แต่ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถสอนให้เขาพัฒนาและเติบโตขึ้นได้ ?
.
สำหรับผม คำตอบของเรื่องนี้คือเทคนิคที่ผมใช้กับลูกชายอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกับที่เราใช้ในการพัฒนาผู้นำในหลักสูตร นั่นคือ “Burger Feedback”
.
ลองนึกภาพแฮมเบอร์เกอร์อร่อยๆ สักชิ้นสิครับ มันประกอบด้วย ขนมปัง ส่วนที่นุ่มนวล และทำให้เบอร์เกอร์น่าทาน เนื้อ ส่วนที่สำคัญที่สุด เป็นหัวใจของรสชาติทั้งหมด การให้ฟีดแบ็กก็เช่นเดียวกันครับ 
.
(อ่านต่อใน Comment)

เย็นวันเสาร์ที่ผ่านมา... ผมกับลูกชายวัย 10 ขวบ กำลังเตะฟุตบอลกันอยู่หน้าบ้าน บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นของเขา
.
เพราะเขาอยากจะฝึกซ้อมให้คล่องก่อนเปิดเทอมหน้า จะได้กลับไปเล่นกับเพื่อนๆ ได้อย่างมั่นใจ หลังจากที่หยุดเล่นไปสองปีกว่า
.
ผมเห็นความพยายามของเขาในทุกลูกที่วิ่งตาม แต่ก็เห็นว่าทักษะหลายอย่างยังไม่เข้าที่ ทั้งการส่งบอล การยิงประตู และโดยเฉพาะ “การจับบอลแรก” ที่มักจะกระฉอกออกไปไกลตัวเสมอ
.
ในวินาทีที่เขาส่งบอลพลาดอีกครั้งแล้วหันมามองผมด้วยแววตาที่เริ่มท้อแท้ ผมในฐานะ “พ่อ” และ “โค้ชจำเป็น” ในขณะนั้น กำลังยืนอยู่บนทางแยกของการสื่อสาร
.
ทางแยกหนึ่ง คือการชี้จุดอ่อนทั้งหมดที่ผมเห็น “การจับบอลก็ยังไม่ดี การส่งบอลก็น้ำหนักขาดไปนะ” ซึ่งแน่นอนว่ามันจะดับฝัน และทำลายความตั้งใจที่เขากำลังพยายามสร้างขึ้นมาใหม่
.
กับอีกทางแยกหนึ่ง คือการให้กำลังใจอย่างเดียว “ไม่เป็นไรลูก เอาใหม่” แต่ลึกๆแล้ว ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ช่วยมอบเครื่องมือให้ลูกได้พัฒนาไปสู่เป้าหมายที่เขาตั้งใจไว้
———
ผมเชื่อว่านี่คือสถานการณ์เดียวกับที่ผู้นำ หรือหัวหน้างานทุกท่านต้องเผชิญ เมื่อทีมงานกำลังพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ พวกเขามีความตั้งใจเต็มร้อย แต่ผลงานยังเต็มไปด้วยข้อ
.
เราจะให้ Feedback อย่างไร ที่จะไม่ทำลายกำลังใจ... แต่ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถสอนให้เขาพัฒนาและเติบโตขึ้นได้ ?
.
สำหรับผม คำตอบของเรื่องนี้คือเทคนิคที่ผมใช้กับลูกชายอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกับที่เราใช้ในการพัฒนาผู้นำในหลักสูตร นั่นคือ “Burger Feedback”
.
ลองนึกภาพแฮมเบอร์เกอร์อร่อยๆ สักชิ้นสิครับ มันประกอบด้วย ขนมปัง ส่วนที่นุ่มนวล และทำให้เบอร์เกอร์น่าทาน เนื้อ ส่วนที่สำคัญที่สุด เป็นหัวใจของรสชาติทั้งหมด การให้ฟีดแบ็กก็เช่นเดียวกันครับ
.
(อ่านต่อใน Comment)
...

3 4
สมัยเด็กผมเคยเลี้ยงปลาทองในโหลแก้วเล็กๆ ผมดูแลมันอย่างดี ให้อาหารทุกวัน เปลี่ยนน้ำสม่ำเสมอ
.
แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เจ้าปลาทองตัวนั้นก็ไม่เคยตัวใหญ่ขึ้นเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมตัดสินใจย้ายมันไปอยู่ในตู้ปลาที่ใหญ่กว่ามาก
.
ไม่น่าเชื่อว่าภายในเวลาไม่กี่เดือน เจ้าปลาทองตัวเดิมกลับมีขนาดใหญ่ขึ้นเกือบเท่าตัว
.
เรื่องนี้สอนความจริงที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังให้ผมว่า… ศักยภาพของสิ่งมีชีวิต ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยความสามารถของมันเพียงอย่างเดียว แต่ถูกจำกัดด้วย “ขนาดของสภาพแวดล้อม” ที่มันอาศัยอยู่ด้วย
.
ในโลกของธุรกิจก็เช่นเดียวกัน ทีมงานของคุณอาจจะเต็มไปด้วยคนที่มีศักยภาพสูง แต่ถ้า “สภาพแวดล้อม” ที่คุณในฐานะผู้นำสร้างขึ้น มันมีขนาดเท่ากับ “โหลปลาทอง” ทีมของคุณก็จะไม่มีวันเติบโตไปได้ไกลกว่านั้น
———
นี่คือแก่นของแนวคิดที่ชื่อว่า #ทฤษฎีฝาขวด (Lid Theory) จากหนังสือคลาสสิกของ John C. Maxwell ที่เราใช้เป็นหนึ่งในเสาหลักของการพัฒนาผู้นำ
.
ทฤษฎีนี้บอกไว้ว่า “ระดับความสามารถของผู้นำ คือฝาขวดที่ปิดกั้นเพดานการเติบโตของทั้งองค์กร”
.
ลองจินตนาการว่าทีมของคุณคือของเหลวที่อยู่ในขวด ส่วนตัวคุณคือ “ฝาขวด” ที่ปิดอยู่ด้านบน
.
(อ่านต่อใน Comment)

สมัยเด็กผมเคยเลี้ยงปลาทองในโหลแก้วเล็กๆ ผมดูแลมันอย่างดี ให้อาหารทุกวัน เปลี่ยนน้ำสม่ำเสมอ
.
แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เจ้าปลาทองตัวนั้นก็ไม่เคยตัวใหญ่ขึ้นเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมตัดสินใจย้ายมันไปอยู่ในตู้ปลาที่ใหญ่กว่ามาก
.
ไม่น่าเชื่อว่าภายในเวลาไม่กี่เดือน เจ้าปลาทองตัวเดิมกลับมีขนาดใหญ่ขึ้นเกือบเท่าตัว
.
เรื่องนี้สอนความจริงที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังให้ผมว่า… ศักยภาพของสิ่งมีชีวิต ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยความสามารถของมันเพียงอย่างเดียว แต่ถูกจำกัดด้วย “ขนาดของสภาพแวดล้อม” ที่มันอาศัยอยู่ด้วย
.
ในโลกของธุรกิจก็เช่นเดียวกัน ทีมงานของคุณอาจจะเต็มไปด้วยคนที่มีศักยภาพสูง แต่ถ้า “สภาพแวดล้อม” ที่คุณในฐานะผู้นำสร้างขึ้น มันมีขนาดเท่ากับ “โหลปลาทอง” ทีมของคุณก็จะไม่มีวันเติบโตไปได้ไกลกว่านั้น
———
นี่คือแก่นของแนวคิดที่ชื่อว่า #ทฤษฎีฝาขวด (Lid Theory) จากหนังสือคลาสสิกของ John C. Maxwell ที่เราใช้เป็นหนึ่งในเสาหลักของการพัฒนาผู้นำ
.
ทฤษฎีนี้บอกไว้ว่า “ระดับความสามารถของผู้นำ คือฝาขวดที่ปิดกั้นเพดานการเติบโตของทั้งองค์กร”
.
ลองจินตนาการว่าทีมของคุณคือของเหลวที่อยู่ในขวด ส่วนตัวคุณคือ “ฝาขวด” ที่ปิดอยู่ด้านบน
.
(อ่านต่อใน Comment)
...

3 4
ช่วงนี้หลายคนน่าจะเห็นข่าวเด่น ประเด็นร้อน ที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจร่วมกันแล้วลงเอยที่หุ้นส่วนทะเลาะกันบ้างไม่มากก็น้อยใช่ไหมครับ 
.
โดยเฉพาะกรณีของหุ้นส่วนที่เป็นคนมีชื่อเสียง เพื่อนรัก หรือกระทั่งคนในครอบครัว 
.
ที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยความฝัน และความไว้ใจ แต่สุดท้ายกลับจบลงบนหน้าสื่อ ด้วยความขัดแย้ง การฟ้องร้อง และการแยกทางที่อาจจะมองหน้ากันไม่ติดอีกเลย
.
ในฐานะที่ปรึกษาที่ได้ทำงานกับเจ้าของธุรกิจ SMEs มาบ้าง 
.
ผมบอกได้เลยครับว่า... เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับคนดัง แต่มันคือ “กับระเบิด” ที่ซ่อนอยู่ในเส้นทางของผู้ประกอบการแทบทุกคนที่เลือกจะลงเรือลำเดียวกันกับคนที่รักและไว้ใจ
.
การทำธุรกิจกับเพื่อนหรือญาติสนิท มันเหมือนการลงเรือลำเดียวกัน ที่เราเดิมพันด้วยความฝัน เงินทุน เวลา... และที่สำคัญกว่านั้นคือ ‘ความสัมพันธ์’ ที่สร้างกันมาทั้งชีวิต
.
หลายครั้งที่ผมเห็นเรือแห่งมิตรภาพเหล่านี้ต้องล่มลง ทั้งๆที่ตัวธุรกิจยังมีโอกาสที่จะไปต่อได้อีกไกล มันน่าเสียดายเสมอครับ 
.
และสิ่งที่น่าเศร้ากว่านั้นคือ ส่วนใหญ่มักเกิดจากปัญหาที่เราสามารถป้องกันได้ แต่หลายๆคน ไม่ได้ป้องกัน ไม่ว่าจะเพราะเกรงใจกันตามสไตล์ไทยๆ หรือ เพราะคาดไม่ถึง ว่าจะมีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง
.
วันนี้ผมเลยอยากจะชวนคุยกันครับว่า... อะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้หุ้นส่วนที่รักกันปานจะกลืนกิน ต้องกลายมาเป็นศัตรูในทางธุรกิจ และเราจะมีแนวทางป้องกันเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร
———
ทำไม ‘เรือ’ แห่งมิตรภาพถึงล่มกลางทาง ? 
.
📌 5 สาเหตุหลักที่เปลี่ยนเพื่อนรักเป็นศัตรู
.
จากประสบการณ์ของผม ปัญหาความขัดแย้งของหุ้นส่วนมักจะวนเวียนอยู่ไม่กี่เรื่อง แต่เป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงเสมอครับ
.
🔥 เริ่มต้นที่ ”เงิน“ ไม่เคยเข้าใครออกใคร :
นี่คือสาเหตุอันดับหนึ่งเสมอครับ ตอนเริ่มต้นที่ยังไม่มีกำไร ทุกคนอาจจะยังช่วยเหลือกันดี แต่เมื่อธุรกิจเริ่มเติบโต คำถามเหล่านี้จะตามมาทันที 
.
- ใครควรได้เงินเดือนเท่าไหร่ ? 
- จะแบ่งกำไรกันอย่างไร ? 
- การลงทุนเพิ่มใครจะลงสัดส่วนเท่าไหร่ ? 
.
บางคนรู้สึกว่าตัวเองทำงานหนักกว่าแต่ได้ผลตอบแทนเท่ากัน หรือบางคนแอบนำเงินบริษัทไปใช้ส่วนตัวโดยไม่บอกกล่าว ความไม่ชัดเจนเรื่องเงินนี่แหละครับ คือจุดเริ่มต้นของรอยร้าวที่ใหญ่ที่สุด
.
(อ่านต่อใน Comment)

ช่วงนี้หลายคนน่าจะเห็นข่าวเด่น ประเด็นร้อน ที่เกี่ยวกับการทำธุรกิจร่วมกันแล้วลงเอยที่หุ้นส่วนทะเลาะกันบ้างไม่มากก็น้อยใช่ไหมครับ
.
โดยเฉพาะกรณีของหุ้นส่วนที่เป็นคนมีชื่อเสียง เพื่อนรัก หรือกระทั่งคนในครอบครัว
.
ที่เริ่มต้นธุรกิจด้วยความฝัน และความไว้ใจ แต่สุดท้ายกลับจบลงบนหน้าสื่อ ด้วยความขัดแย้ง การฟ้องร้อง และการแยกทางที่อาจจะมองหน้ากันไม่ติดอีกเลย
.
ในฐานะที่ปรึกษาที่ได้ทำงานกับเจ้าของธุรกิจ SMEs มาบ้าง
.
ผมบอกได้เลยครับว่า... เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว และไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับคนดัง แต่มันคือ “กับระเบิด” ที่ซ่อนอยู่ในเส้นทางของผู้ประกอบการแทบทุกคนที่เลือกจะลงเรือลำเดียวกันกับคนที่รักและไว้ใจ
.
การทำธุรกิจกับเพื่อนหรือญาติสนิท มันเหมือนการลงเรือลำเดียวกัน ที่เราเดิมพันด้วยความฝัน เงินทุน เวลา... และที่สำคัญกว่านั้นคือ ‘ความสัมพันธ์’ ที่สร้างกันมาทั้งชีวิต
.
หลายครั้งที่ผมเห็นเรือแห่งมิตรภาพเหล่านี้ต้องล่มลง ทั้งๆที่ตัวธุรกิจยังมีโอกาสที่จะไปต่อได้อีกไกล มันน่าเสียดายเสมอครับ
.
และสิ่งที่น่าเศร้ากว่านั้นคือ ส่วนใหญ่มักเกิดจากปัญหาที่เราสามารถป้องกันได้ แต่หลายๆคน ไม่ได้ป้องกัน ไม่ว่าจะเพราะเกรงใจกันตามสไตล์ไทยๆ หรือ เพราะคาดไม่ถึง ว่าจะมีปัญหาแบบนี้เกิดขึ้นกับตัวเอง
.
วันนี้ผมเลยอยากจะชวนคุยกันครับว่า... อะไรคือสาเหตุหลักที่ทำให้หุ้นส่วนที่รักกันปานจะกลืนกิน ต้องกลายมาเป็นศัตรูในทางธุรกิจ และเราจะมีแนวทางป้องกันเรื่องเหล่านี้ได้อย่างไร
———
ทำไม ‘เรือ’ แห่งมิตรภาพถึงล่มกลางทาง ?
.
📌 5 สาเหตุหลักที่เปลี่ยนเพื่อนรักเป็นศัตรู
.
จากประสบการณ์ของผม ปัญหาความขัดแย้งของหุ้นส่วนมักจะวนเวียนอยู่ไม่กี่เรื่อง แต่เป็นเรื่องใหญ่ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงเสมอครับ
.
🔥 เริ่มต้นที่ ”เงิน“ ไม่เคยเข้าใครออกใคร :
นี่คือสาเหตุอันดับหนึ่งเสมอครับ ตอนเริ่มต้นที่ยังไม่มีกำไร ทุกคนอาจจะยังช่วยเหลือกันดี แต่เมื่อธุรกิจเริ่มเติบโต คำถามเหล่านี้จะตามมาทันที
.
- ใครควรได้เงินเดือนเท่าไหร่ ?
- จะแบ่งกำไรกันอย่างไร ?
- การลงทุนเพิ่มใครจะลงสัดส่วนเท่าไหร่ ?
.
บางคนรู้สึกว่าตัวเองทำงานหนักกว่าแต่ได้ผลตอบแทนเท่ากัน หรือบางคนแอบนำเงินบริษัทไปใช้ส่วนตัวโดยไม่บอกกล่าว ความไม่ชัดเจนเรื่องเงินนี่แหละครับ คือจุดเริ่มต้นของรอยร้าวที่ใหญ่ที่สุด
.
(อ่านต่อใน Comment)
...

5 5
ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา… หนึ่งในคำศัพท์ที่ผมเชื่อว่าผู้นำ และผู้บริหารทุกท่านคุ้นเคยกันดีที่สุดคงหนีไม่พ้นคำว่า ”Growth Mindset“
.
เราพูดถึงมันในห้องประชุม ใส่ไว้ใน Core Values ขององค์กร และพยายามอย่างยิ่งที่จะปลูกฝังทัศนคตินี้ให้กับทีมงานของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และสำคัญอย่างยิ่งครับ
.
#GrowthMindset คือ ความเชื่อที่ว่าความสามารถ และสติปัญญาของเราสามารถพัฒนาได้ผ่านความพยายาม และการเรียนรู้ 
.
มันคือทัศนคติ ที่เปลี่ยนมุมมองของเราต่อความล้มเหลว จาก “จุดจบ” ให้กลายเป็น “บทเรียนที่มีค่า” ผู้นำและองค์กรที่มี Growth Mindset จะเป็นองค์กรที่ “ฟื้นคืน” จากปัญหาได้เสมอ เพราะทุกวิกฤตคือโอกาสในการเรียนรู้
.
ผมเคยเชื่อว่านี่คือ “เป้าหมายสูงสุด” ของการพัฒนาผู้นำ จนกระทั่งผมได้เจอกับแนวคิดที่ทรงพลังและท้าทายกว่านั้นจากหนังสือเรื่อง Antifragile ของ Nassim Nicholas Taleb 
.
ซึ่งทำให้ผมตระหนักว่า ในโลกที่พายุแห่งปัญหาโหมกระหน่ำไม่หยุดหย่อน การแค่ “ฟื้นคืน” กลับมาเท่าเดิม อาจจะไม่เพียงพออีกต่อไป
.
Taleb ได้เสนอแนวคิดที่เรียกว่า #AntiFragility ซึ่งเป็นคุณสมบัติของสิ่งที่ “ได้รับประโยชน์จากความโกลาหล”
———
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ลองจินตนาการถึงสิ่งของ 3 อย่างที่เผชิญกับแรงกระแทกแบบนี้ครับ
.
🍷แก้วไวน์ (Fragile) : เมื่อตกพื้น มันจะแตกสลาย นี่คือองค์กรที่เปราะบาง
.
🧽ฟองน้ำ (Resilience) : เมื่อถูกบีบ มันจะเด้งกลับมาสู่รูปทรงเดิม นี่คือองค์กรที่ฟื้นคืนได้ (ซึ่งก็คือผลลัพธ์ของ Growth Mindset)
.
💪🏻ระบบภูมิคุ้มกัน (Anti-Fragile) : เมื่อเจอเชื้อโรค มันไม่เพียงแค่กำจัดเชื้อโรคแล้วกลับมาเหมือนเดิม แต่มันยังเรียนรู้ และสร้างแอนติบอดี ทำให้ร่างกายโดยรวม “แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม” หลังจากการเผชิญหน้าครั้งนั้น
.
นี่คือความแตกต่างที่สำคัญครับ… Resilience คือการกลับมา “เท่าเดิม” แต่ Anti-Fragility คือการกลับมา “ดีกว่าเดิม”
.
(อ่านต่อใน Comment)

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา… หนึ่งในคำศัพท์ที่ผมเชื่อว่าผู้นำ และผู้บริหารทุกท่านคุ้นเคยกันดีที่สุดคงหนีไม่พ้นคำว่า ”Growth Mindset“
.
เราพูดถึงมันในห้องประชุม ใส่ไว้ใน Core Values ขององค์กร และพยายามอย่างยิ่งที่จะปลูกฝังทัศนคตินี้ให้กับทีมงานของเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ถูกต้อง และสำคัญอย่างยิ่งครับ
.
#GrowthMindset คือ ความเชื่อที่ว่าความสามารถ และสติปัญญาของเราสามารถพัฒนาได้ผ่านความพยายาม และการเรียนรู้
.
มันคือทัศนคติ ที่เปลี่ยนมุมมองของเราต่อความล้มเหลว จาก “จุดจบ” ให้กลายเป็น “บทเรียนที่มีค่า” ผู้นำและองค์กรที่มี Growth Mindset จะเป็นองค์กรที่ “ฟื้นคืน” จากปัญหาได้เสมอ เพราะทุกวิกฤตคือโอกาสในการเรียนรู้
.
ผมเคยเชื่อว่านี่คือ “เป้าหมายสูงสุด” ของการพัฒนาผู้นำ จนกระทั่งผมได้เจอกับแนวคิดที่ทรงพลังและท้าทายกว่านั้นจากหนังสือเรื่อง Antifragile ของ Nassim Nicholas Taleb
.
ซึ่งทำให้ผมตระหนักว่า ในโลกที่พายุแห่งปัญหาโหมกระหน่ำไม่หยุดหย่อน การแค่ “ฟื้นคืน” กลับมาเท่าเดิม อาจจะไม่เพียงพออีกต่อไป
.
Taleb ได้เสนอแนวคิดที่เรียกว่า #AntiFragility ซึ่งเป็นคุณสมบัติของสิ่งที่ “ได้รับประโยชน์จากความโกลาหล”
———
เพื่อให้เห็นภาพชัดเจน ลองจินตนาการถึงสิ่งของ 3 อย่างที่เผชิญกับแรงกระแทกแบบนี้ครับ
.
🍷แก้วไวน์ (Fragile) : เมื่อตกพื้น มันจะแตกสลาย นี่คือองค์กรที่เปราะบาง
.
🧽ฟองน้ำ (Resilience) : เมื่อถูกบีบ มันจะเด้งกลับมาสู่รูปทรงเดิม นี่คือองค์กรที่ฟื้นคืนได้ (ซึ่งก็คือผลลัพธ์ของ Growth Mindset)
.
💪🏻ระบบภูมิคุ้มกัน (Anti-Fragile) : เมื่อเจอเชื้อโรค มันไม่เพียงแค่กำจัดเชื้อโรคแล้วกลับมาเหมือนเดิม แต่มันยังเรียนรู้ และสร้างแอนติบอดี ทำให้ร่างกายโดยรวม “แข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม” หลังจากการเผชิญหน้าครั้งนั้น
.
นี่คือความแตกต่างที่สำคัญครับ… Resilience คือการกลับมา “เท่าเดิม” แต่ Anti-Fragility คือการกลับมา “ดีกว่าเดิม”
.
(อ่านต่อใน Comment)
...

3 4
ผมอยากชวนผู้นำองค์กร เจ้าของธุรกิจ SME ลองนึกย้อนไปถึงวันที่ทำงานในช่วงเดือนที่ผ่านมา 
.
มีกี่วันที่คุณได้นั่งทำงานตามแผนที่วางไว้อย่างสบายใจ และมีกี่วันที่คุณต้องวิ่งวุ่นแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่เคยอยู่ในแผนมาก่อน ผมเชื่อว่าคำตอบของผู้นำส่วนใหญ่คงเป็นอย่างหลัง
.
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาลูกค้าที่ไม่พอใจ, ทีมงานคนสำคัญลาออกกะทันหัน, คู่แข่งออกโปรโมชันตัดราคา, หรือเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามา disrupt ตลาด
.
ดูเหมือนว่าในวันนี้ ‘ปัญหา’ ไม่ใช่สิ่งที่นานๆจะเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง แต่มันคือส่วนหนึ่งของลมหายใจในการทำธุรกิจไปแล้ว มันคือพายุที่โหมกระหน่ำเข้ามาแทบจะเป็นรายวัน
.
ความรู้สึกของการต้องแก้ปัญหาหนึ่งเพื่อให้เจอปัญหาใหม่รออยู่ เป็นความรู้สึกที่เหนื่อย และบั่นทอนอย่างยิ่ง
.
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ “เราจะหลีกเลี่ยงปัญหาได้อย่างไร” เพราะมันเป็นไปไม่ได้ แต่คือ “เราจะสร้างองค์กรและสร้างทีมที่รับมือกับพายุลูกนี้ได้อย่างไร” ต่างหาก
-———
จากหนังสือคลาสสิกเรื่อง Anti-fragile ของ Nassim Nicholas Taleb และจากสิ่งที่เราใช้เป็นแกนในการพัฒนาผู้นำในหลักสูตรของเรา พบว่าการตอบสนองต่อปัญหา หรือวิกฤตขององค์กรมันมีอยู่ 3 ระดับ คือ
.
📌แบบเปราะบาง (Fragile) : เหมือนแก้วไวน์
องค์กรประเภทนี้ คือองค์กรที่ยึดติดกับแผนเดิม มีโครงสร้างที่ตายตัว และไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เมื่อเจอกับปัญหาที่ไม่คาดฝัน องค์กรแบบนี้จะ “แตกสลาย” เหมือนแก้วไวน์ที่ร่วงหล่นลงพื้น
.
📌แบบฟื้นคืน (Resilience) : เหมือนลูกบอลยาง
สิ่งที่องค์กรส่วนใหญ่พยายามจะเป็น คือความสามารถในการทนทานต่อแรงกระแทก เมื่อเจอปัญหา หรือวิกฤต อาจจะบุบไปบ้าง แต่สุดท้ายก็จะสามารถ “เด้งกลับ” มาสู่สภาพเดิมได้ องค์กรแบบนี้คือองค์กรที่ “รอด” จากวิกฤต
.
📌แบบต่อต้านความเปราะบาง (Anti-Fragility) : เหมือนระบบภูมิคุ้มกัน
นี่คือเป้าหมายสูงสุดของผู้นำในยุคนี้ครับ องค์กรที่ไม่ได้แค่ทนทานต่อปัญหา แต่องค์กรประเภทนี้ “ใช้ประโยชน์จากปัญหาเพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม”
เหมือนกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่เมื่อเจอเชื้อโรค (ปัญหา) มันไม่เพียงแค่กำจัดเชื้อโรคแล้วกลับสู่สภาวะปกติ แต่มันยังสร้าง ‘แอนติบอดี’ ขึ้นมา ทำให้ร่างกายแข็งแกร่ง และพร้อมรับมือกับเชื้อโรคชนิดเดิมได้ดีขึ้นในอนาคต องค์กรแบบนี้คือองค์กรที่ “เติบโต” จากวิกฤต
———
แล้วผู้นำจะสร้างทัศนคติแบบ Anti-Fragile ให้กับตัวเอง และทีมได้อย่างไร ?
.
มันเริ่มต้นจากการเปลี่ยน “คำถาม” ที่เราถามตัวเองเมื่อเจอปัญหา
.
(อ่านต่อใน Comment)

ผมอยากชวนผู้นำองค์กร เจ้าของธุรกิจ SME ลองนึกย้อนไปถึงวันที่ทำงานในช่วงเดือนที่ผ่านมา
.
มีกี่วันที่คุณได้นั่งทำงานตามแผนที่วางไว้อย่างสบายใจ และมีกี่วันที่คุณต้องวิ่งวุ่นแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่ไม่เคยอยู่ในแผนมาก่อน ผมเชื่อว่าคำตอบของผู้นำส่วนใหญ่คงเป็นอย่างหลัง
.
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาลูกค้าที่ไม่พอใจ, ทีมงานคนสำคัญลาออกกะทันหัน, คู่แข่งออกโปรโมชันตัดราคา, หรือเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามา disrupt ตลาด
.
ดูเหมือนว่าในวันนี้ ‘ปัญหา’ ไม่ใช่สิ่งที่นานๆจะเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง แต่มันคือส่วนหนึ่งของลมหายใจในการทำธุรกิจไปแล้ว มันคือพายุที่โหมกระหน่ำเข้ามาแทบจะเป็นรายวัน
.
ความรู้สึกของการต้องแก้ปัญหาหนึ่งเพื่อให้เจอปัญหาใหม่รออยู่ เป็นความรู้สึกที่เหนื่อย และบั่นทอนอย่างยิ่ง
.
คำถามสำคัญจึงไม่ใช่ “เราจะหลีกเลี่ยงปัญหาได้อย่างไร” เพราะมันเป็นไปไม่ได้ แต่คือ “เราจะสร้างองค์กรและสร้างทีมที่รับมือกับพายุลูกนี้ได้อย่างไร” ต่างหาก
-———
จากหนังสือคลาสสิกเรื่อง Anti-fragile ของ Nassim Nicholas Taleb และจากสิ่งที่เราใช้เป็นแกนในการพัฒนาผู้นำในหลักสูตรของเรา พบว่าการตอบสนองต่อปัญหา หรือวิกฤตขององค์กรมันมีอยู่ 3 ระดับ คือ
.
📌แบบเปราะบาง (Fragile) : เหมือนแก้วไวน์
องค์กรประเภทนี้ คือองค์กรที่ยึดติดกับแผนเดิม มีโครงสร้างที่ตายตัว และไม่ชอบการเปลี่ยนแปลง เมื่อเจอกับปัญหาที่ไม่คาดฝัน องค์กรแบบนี้จะ “แตกสลาย” เหมือนแก้วไวน์ที่ร่วงหล่นลงพื้น
.
📌แบบฟื้นคืน (Resilience) : เหมือนลูกบอลยาง
สิ่งที่องค์กรส่วนใหญ่พยายามจะเป็น คือความสามารถในการทนทานต่อแรงกระแทก เมื่อเจอปัญหา หรือวิกฤต อาจจะบุบไปบ้าง แต่สุดท้ายก็จะสามารถ “เด้งกลับ” มาสู่สภาพเดิมได้ องค์กรแบบนี้คือองค์กรที่ “รอด” จากวิกฤต
.
📌แบบต่อต้านความเปราะบาง (Anti-Fragility) : เหมือนระบบภูมิคุ้มกัน
นี่คือเป้าหมายสูงสุดของผู้นำในยุคนี้ครับ องค์กรที่ไม่ได้แค่ทนทานต่อปัญหา แต่องค์กรประเภทนี้ “ใช้ประโยชน์จากปัญหาเพื่อทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้นกว่าเดิม”
เหมือนกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ที่เมื่อเจอเชื้อโรค (ปัญหา) มันไม่เพียงแค่กำจัดเชื้อโรคแล้วกลับสู่สภาวะปกติ แต่มันยังสร้าง ‘แอนติบอดี’ ขึ้นมา ทำให้ร่างกายแข็งแกร่ง และพร้อมรับมือกับเชื้อโรคชนิดเดิมได้ดีขึ้นในอนาคต องค์กรแบบนี้คือองค์กรที่ “เติบโต” จากวิกฤต
———
แล้วผู้นำจะสร้างทัศนคติแบบ Anti-Fragile ให้กับตัวเอง และทีมได้อย่างไร ?
.
มันเริ่มต้นจากการเปลี่ยน “คำถาม” ที่เราถามตัวเองเมื่อเจอปัญหา
.
(อ่านต่อใน Comment)
...

4 3
สมัยที่ผมเริ่มทำงานใหม่ๆ ผมมีหัวหน้าสองคนที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
.
👤คนแรก เป็นคนเก่ง ตรรกะเฉียบคม แต่ทุกครั้งที่ผมต้องเข้าประชุม หรือส่งงานให้ ผมจะรู้สึกเกร็ง และหัวใจเต้นแรง สายตาเหมือนเครื่องสแกนที่คอยมองหาข้อผิดพลาด 
.
และเมื่อเจอหัวหน้าถามกลางที่ประชุมทันทีว่า “ทำไมถึงทำแบบนี้?” บรรยากาศในทีมจึงเต็มไปด้วยความเงียบ ทุกคนมักทำงานเพื่อ “เอาตัวรอด” และ “ไม่ให้โดนด่า”
.
👤คนที่สอง เป็นหัวหน้าที่อบอุ่น แต่ก็เด็ดขาด เมื่อผมทำงานผิดพลาด จะเรียกไปคุยส่วนตัว ถามว่า “ปัญหานี้เกิดจากอะไร และเราจะเรียนรู้จากมันเพื่อไม่ให้เกิดซ้ำได้อย่างไร?”
.
แต่ในทางกลับกัน เมื่อผมทำอะไรได้ดีแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะเป็นคนแรกที่เดินมาตบไหล่แล้วพูดว่า “ดีมาก! พี่ชอบวิธีที่นายจัดการกับลูกค้ารายนั้นนะ” 
.
บรรยากาศในทีมจึงเต็มไปด้วยพลังงาน ที่ทุกคนกล้าที่จะลองผิดลองถูก และอยากทำงานให้ “ดีที่สุด”
.
ประสบการณ์ครั้งนั้นสอนให้ผมรู้ว่า… #อำนาจ ในตำแหน่งอาจจะทำให้คน “ทำตาม”...แต่ #ภาวะผู้นำ ที่แท้จริงต่างหากที่ทำให้คน “ทุ่มเท”
———
เรื่องนี้สะท้อนแนวคิดจากหนังสือในตำนานอย่าง “Whale Done!” ที่แบ่งผู้นำออกเป็น 2 ประเภทอย่างชัดเจน
.
📌ผู้นำสไตล์ “GOTcha!” (จับผิด) คือ ผู้นำที่ใช้พลังงานส่วนใหญ่ไปกับการเฝ้ารอจับข้อผิดพลาดของทีมงาน สร้างบรรยากาศการทำงานด้วยความกลัว และวัดผลกันที่ “ความสมบูรณ์แบบ”
.
📌ผู้นำสไตล์ “Whale Done!” (จับถูก) คือ ผู้นำที่ใช้พลังงานไปกับการมองหาสิ่งที่ทีมทำได้ดี หรือมีความคืบหน้า แล้วชื่นชมทันที สร้างบรรยากาศการทำงานด้วยความไว้วางใจ และวัดผลกันที่ “การเติบโตและการเรียนรู้”
———
มาลองลองสำรวจตัวเองอย่างซื่อสัตย์ผ่านสถานการณ์เหล่านี้ดูครับ ว่าโดยสัญชาตญาณแล้ว เราตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ ในฐานะผู้นำอย่างไร ?
.
💬เมื่อทีมงานทำผิดพลาด
• GOTcha! : คำถามแรกที่ผุดขึ้นในหัวคือ “ใครทำ?” หรือ “ทำไมถึงทำพลาดแบบนี้?” และเรียกประชุมเพื่อหาคนรับผิดชอบ
• Whale Done! : คำถามแรกที่ผุดขึ้นในหัวคือ “เกิดอะไรขึ้น?” และ “เราจะช่วยกันแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไร?” แล้วจึงค่อยวิเคราะห์เพื่อเรียนรู้ในภายหลัง
.
💬ในการประชุมทีม
• GOTcha! : คุณเป็นคนพูดเกือบตลอดเวลา และเมื่อลูกน้องเสนอไอเดียที่แตกต่าง คุณมักจะชี้ให้เห็นถึงข้อเสีย หรือความเป็นไปไม่ได้ก่อนเสมอ
• Whale Done! : คุณทำหน้าที่เป็น “ผู้ถาม” ที่ดี กระตุ้นให้ทุกคนแสดงความคิดเห็น และเมื่อมีไอเดียใหม่ๆ คุณจะถามว่า “น่าสนใจ...เราจะทำให้ไอเดียนี้เป็นจริงได้อย่างไรบ้าง?”
.
(อ่านต่อใน Comment)

สมัยที่ผมเริ่มทำงานใหม่ๆ ผมมีหัวหน้าสองคนที่แตกต่างกันอย่างสุดขั้ว
.
👤คนแรก เป็นคนเก่ง ตรรกะเฉียบคม แต่ทุกครั้งที่ผมต้องเข้าประชุม หรือส่งงานให้ ผมจะรู้สึกเกร็ง และหัวใจเต้นแรง สายตาเหมือนเครื่องสแกนที่คอยมองหาข้อผิดพลาด
.
และเมื่อเจอหัวหน้าถามกลางที่ประชุมทันทีว่า “ทำไมถึงทำแบบนี้?” บรรยากาศในทีมจึงเต็มไปด้วยความเงียบ ทุกคนมักทำงานเพื่อ “เอาตัวรอด” และ “ไม่ให้โดนด่า”
.
👤คนที่สอง เป็นหัวหน้าที่อบอุ่น แต่ก็เด็ดขาด เมื่อผมทำงานผิดพลาด จะเรียกไปคุยส่วนตัว ถามว่า “ปัญหานี้เกิดจากอะไร และเราจะเรียนรู้จากมันเพื่อไม่ให้เกิดซ้ำได้อย่างไร?”
.
แต่ในทางกลับกัน เมื่อผมทำอะไรได้ดีแม้เพียงเล็กน้อย ก็จะเป็นคนแรกที่เดินมาตบไหล่แล้วพูดว่า “ดีมาก! พี่ชอบวิธีที่นายจัดการกับลูกค้ารายนั้นนะ”
.
บรรยากาศในทีมจึงเต็มไปด้วยพลังงาน ที่ทุกคนกล้าที่จะลองผิดลองถูก และอยากทำงานให้ “ดีที่สุด”
.
ประสบการณ์ครั้งนั้นสอนให้ผมรู้ว่า… #อำนาจ ในตำแหน่งอาจจะทำให้คน “ทำตาม”...แต่ #ภาวะผู้นำ ที่แท้จริงต่างหากที่ทำให้คน “ทุ่มเท”
———
เรื่องนี้สะท้อนแนวคิดจากหนังสือในตำนานอย่าง “Whale Done!” ที่แบ่งผู้นำออกเป็น 2 ประเภทอย่างชัดเจน
.
📌ผู้นำสไตล์ “GOTcha!” (จับผิด) คือ ผู้นำที่ใช้พลังงานส่วนใหญ่ไปกับการเฝ้ารอจับข้อผิดพลาดของทีมงาน สร้างบรรยากาศการทำงานด้วยความกลัว และวัดผลกันที่ “ความสมบูรณ์แบบ”
.
📌ผู้นำสไตล์ “Whale Done!” (จับถูก) คือ ผู้นำที่ใช้พลังงานไปกับการมองหาสิ่งที่ทีมทำได้ดี หรือมีความคืบหน้า แล้วชื่นชมทันที สร้างบรรยากาศการทำงานด้วยความไว้วางใจ และวัดผลกันที่ “การเติบโตและการเรียนรู้”
———
มาลองลองสำรวจตัวเองอย่างซื่อสัตย์ผ่านสถานการณ์เหล่านี้ดูครับ ว่าโดยสัญชาตญาณแล้ว เราตอบสนองต่อสิ่งต่างๆ ในฐานะผู้นำอย่างไร ?
.
💬เมื่อทีมงานทำผิดพลาด
• GOTcha! : คำถามแรกที่ผุดขึ้นในหัวคือ “ใครทำ?” หรือ “ทำไมถึงทำพลาดแบบนี้?” และเรียกประชุมเพื่อหาคนรับผิดชอบ
• Whale Done! : คำถามแรกที่ผุดขึ้นในหัวคือ “เกิดอะไรขึ้น?” และ “เราจะช่วยกันแก้ไขสถานการณ์นี้อย่างไร?” แล้วจึงค่อยวิเคราะห์เพื่อเรียนรู้ในภายหลัง
.
💬ในการประชุมทีม
• GOTcha! : คุณเป็นคนพูดเกือบตลอดเวลา และเมื่อลูกน้องเสนอไอเดียที่แตกต่าง คุณมักจะชี้ให้เห็นถึงข้อเสีย หรือความเป็นไปไม่ได้ก่อนเสมอ
• Whale Done! : คุณทำหน้าที่เป็น “ผู้ถาม” ที่ดี กระตุ้นให้ทุกคนแสดงความคิดเห็น และเมื่อมีไอเดียใหม่ๆ คุณจะถามว่า “น่าสนใจ...เราจะทำให้ไอเดียนี้เป็นจริงได้อย่างไรบ้าง?”
.
(อ่านต่อใน Comment)
...

7 3
ผมมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งครับ... เวลาที่เรากำลังจะเผชิญหน้ากับพายุลูกใหญ่ สิ่งแรกที่เราต้องตรวจสอบไม่ใช่ขนาดของเรือ แต่คือ “โครงสร้าง” และ “ความพร้อม” ของทีมลูกเรือบนเรือลำนั้นต่างหาก 
.
วันนี้ดูเหมือนว่าพายุลูกใหญ่ที่ชื่อว่า #วิกฤตเศรษฐกิจ กำลังก่อตัวและเตรียมพัดเข้ามาอย่างหนักหน่วงในปี 2568-2569 ที่จะถึงนี้
.
คำถามสำคัญที่ผู้ประกอบการและผู้นำองค์กรหลายท่านกำลังขบคิด ไม่ใช่แค่ “เราจะลดต้นทุนอย่างไร?” หรือ “เราจะเพิ่มยอดขายได้อย่างไร?”
.
แต่เป็นคำถามที่ลึกลงไปถึงแก่นขององค์กรว่า “โครงสร้างและทีมงานที่เรามีอยู่ทุกวันนี้ แข็งแรงพอที่จะพาเราฝ่าพายุนั้นไปได้จริงๆไหม?”
.
นี่คือเรื่องจริงที่ผมได้เข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกค้าท่านหนึ่ง… ซึ่งผมอยากจะนำมาเป็นกรณีศึกษาให้กับทุกท่านครับ
.
จาก “ผู้ขายสินค้า” สู่ “ผู้ให้บริการ Solution” ลูกค้าของผม เป็นบริษัทนำเข้า และจัดจำหน่ายอุปกรณ์เฉพาะทางแห่งหนึ่ง ขนาดพนักงานประมาณ 80-100 คน สร้างยอดขายปีละประมาณ 100 ล้านบาท
.
เรียกได้ว่าเป็นธุรกิจที่มั่นคงและประสบความสำเร็จมาโดยตลอด โครงสร้างองค์กรของเขาชัดเจนและตรงไปตรงมา มีฝ่ายขายที่เก่งกาจในการปิดดีล มีฝ่ายการตลาดที่สร้างแบรนด์ และมีฝ่ายบริการหลังการขายที่คอยซัพพอร์ตลูกค้าเมื่อเกิดปัญหา
.
แต่แล้ว สิ่งที่เรียกว่า “การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค” ก็เข้ามาท้าทายลูกค้าในยุคนี้ไม่ได้ต้องการแค่ “สินค้า” แต่พวกเขาต้องการ “Solution”
.
ต้องการที่ปรึกษาที่ช่วยวิเคราะห์ปัญหา, แนะนำสินค้าที่เหมาะสม, ช่วยวางแผนการติดตั้ง, และดูแลต่อเนื่อง
.
คู่แข่งรายใหม่ๆที่ตัวเล็กกว่า แต่คล่องตัวกว่า เริ่มเข้ามาตีตลาดด้วยโมเดล “ขายบวกบริการ” นี้ ยอดขายของลูกค้าผมเริ่มสั่นคลอน
.
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “คน” ไม่เก่ง แต่อยู่ที่ “โครงสร้างองค์กร” แบบเดิม ที่แยกฝ่ายขาย และฝ่ายบริการออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้การส่งมอบประสบการณ์แบบ Solution ให้กับลูกค้าเป็นไปไม่ได้เลย
—————
ถึงเวลา ‘ปรับทัพ’ นี่คือจุดที่เรานำ #Framework3R เข้ามาประยุกต์ใช้กับการ “ปรับโครงสร้างองค์กร” ทั้งระบบ ไม่ใช่แค่การจัดการคน
.
(อ่านต่อใน Comment)

ผมมีความเชื่ออยู่อย่างหนึ่งครับ... เวลาที่เรากำลังจะเผชิญหน้ากับพายุลูกใหญ่ สิ่งแรกที่เราต้องตรวจสอบไม่ใช่ขนาดของเรือ แต่คือ “โครงสร้าง” และ “ความพร้อม” ของทีมลูกเรือบนเรือลำนั้นต่างหาก
.
วันนี้ดูเหมือนว่าพายุลูกใหญ่ที่ชื่อว่า #วิกฤตเศรษฐกิจ กำลังก่อตัวและเตรียมพัดเข้ามาอย่างหนักหน่วงในปี 2568-2569 ที่จะถึงนี้
.
คำถามสำคัญที่ผู้ประกอบการและผู้นำองค์กรหลายท่านกำลังขบคิด ไม่ใช่แค่ “เราจะลดต้นทุนอย่างไร?” หรือ “เราจะเพิ่มยอดขายได้อย่างไร?”
.
แต่เป็นคำถามที่ลึกลงไปถึงแก่นขององค์กรว่า “โครงสร้างและทีมงานที่เรามีอยู่ทุกวันนี้ แข็งแรงพอที่จะพาเราฝ่าพายุนั้นไปได้จริงๆไหม?”
.
นี่คือเรื่องจริงที่ผมได้เข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้กับลูกค้าท่านหนึ่ง… ซึ่งผมอยากจะนำมาเป็นกรณีศึกษาให้กับทุกท่านครับ
.
จาก “ผู้ขายสินค้า” สู่ “ผู้ให้บริการ Solution” ลูกค้าของผม เป็นบริษัทนำเข้า และจัดจำหน่ายอุปกรณ์เฉพาะทางแห่งหนึ่ง ขนาดพนักงานประมาณ 80-100 คน สร้างยอดขายปีละประมาณ 100 ล้านบาท
.
เรียกได้ว่าเป็นธุรกิจที่มั่นคงและประสบความสำเร็จมาโดยตลอด โครงสร้างองค์กรของเขาชัดเจนและตรงไปตรงมา มีฝ่ายขายที่เก่งกาจในการปิดดีล มีฝ่ายการตลาดที่สร้างแบรนด์ และมีฝ่ายบริการหลังการขายที่คอยซัพพอร์ตลูกค้าเมื่อเกิดปัญหา
.
แต่แล้ว สิ่งที่เรียกว่า “การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภค” ก็เข้ามาท้าทายลูกค้าในยุคนี้ไม่ได้ต้องการแค่ “สินค้า” แต่พวกเขาต้องการ “Solution”
.
ต้องการที่ปรึกษาที่ช่วยวิเคราะห์ปัญหา, แนะนำสินค้าที่เหมาะสม, ช่วยวางแผนการติดตั้ง, และดูแลต่อเนื่อง
.
คู่แข่งรายใหม่ๆที่ตัวเล็กกว่า แต่คล่องตัวกว่า เริ่มเข้ามาตีตลาดด้วยโมเดล “ขายบวกบริการ” นี้ ยอดขายของลูกค้าผมเริ่มสั่นคลอน
.
ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ “คน” ไม่เก่ง แต่อยู่ที่ “โครงสร้างองค์กร” แบบเดิม ที่แยกฝ่ายขาย และฝ่ายบริการออกจากกันอย่างสิ้นเชิง ทำให้การส่งมอบประสบการณ์แบบ Solution ให้กับลูกค้าเป็นไปไม่ได้เลย
—————
ถึงเวลา ‘ปรับทัพ’ นี่คือจุดที่เรานำ #Framework3R เข้ามาประยุกต์ใช้กับการ “ปรับโครงสร้างองค์กร” ทั้งระบบ ไม่ใช่แค่การจัดการคน
.
(อ่านต่อใน Comment)
...

4 5
เคยสังเกตไหมครับว่า... เวลาผู้กำกับเก่งๆ จะสร้างหนังสักเรื่อง เขาไม่ได้มองหานักแสดงที่ “ดังที่สุด” เสมอไป
.
แต่เขามองหานักแสดงที่ “ใช่ที่สุด” สำหรับบทบาทนั้นๆ นักแสดงที่เข้าใจแก่นของตัวละครและสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเรื่องราวของหนังได้ 
.
การสร้างทีมสำหรับธุรกิจ SMEs ก็ไม่ต่างกัน การรับพนักงานใหม่ 1 คน โดยเฉพาะในองค์กรที่ยังไม่ใหญ่มาก 
.
มันไม่ใช่แค่การหาคนมาเติมตำแหน่งที่ว่าง แต่มันคือการ “คัดเลือกนักแสดง” สำหรับบทบาทที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทาง และอนาคตของทั้งบริษัท 
.
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ คือ เรามักจะรีบร้อน เราขาดคน เราเลยกางใบสมัครออกดู มองหาคนที่มีทักษะตรงตามรายการที่เราเขียนไว้ และตัดสินใจรับเข้ามา
.
สุดท้าย... เราอาจจะได้คนที่ “ทำงานได้” แต่ไม่ได้คนที่มี “หัวใจเดียวกัน” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาอีกมากมายที่จะตามมาในระยะยาว 
.
นี่คือแนวคิดสุดท้ายที่สำคัญที่สุดใน #Framework3R ของเรา
.
“RECRUIT” ไม่ใช่แค่กระบวนการสรรหา แต่คือปรัชญาในการ “สร้างกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อดึงดูด และคัดเลือกคนที่ใช่ ทั้งในด้านทักษะ และทัศนคติ” ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวความสำเร็จขององค์กร 
.
แล้วเราจะเปลี่ยนจากการ “หาคน” ไปสู่การ “คัดเลือกนักแสดง” ได้อย่างไร ? ลองเปลี่ยนมุมมองและวิธีการในแต่ละขั้นตอนแบบนี้ครับ 
.
(อ่านต่อใน Comment)

เคยสังเกตไหมครับว่า... เวลาผู้กำกับเก่งๆ จะสร้างหนังสักเรื่อง เขาไม่ได้มองหานักแสดงที่ “ดังที่สุด” เสมอไป
.
แต่เขามองหานักแสดงที่ “ใช่ที่สุด” สำหรับบทบาทนั้นๆ นักแสดงที่เข้าใจแก่นของตัวละครและสามารถหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเรื่องราวของหนังได้
.
การสร้างทีมสำหรับธุรกิจ SMEs ก็ไม่ต่างกัน การรับพนักงานใหม่ 1 คน โดยเฉพาะในองค์กรที่ยังไม่ใหญ่มาก
.
มันไม่ใช่แค่การหาคนมาเติมตำแหน่งที่ว่าง แต่มันคือการ “คัดเลือกนักแสดง” สำหรับบทบาทที่จะส่งผลกระทบต่อทิศทาง และอนาคตของทั้งบริษัท
.
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ คือ เรามักจะรีบร้อน เราขาดคน เราเลยกางใบสมัครออกดู มองหาคนที่มีทักษะตรงตามรายการที่เราเขียนไว้ และตัดสินใจรับเข้ามา
.
สุดท้าย... เราอาจจะได้คนที่ “ทำงานได้” แต่ไม่ได้คนที่มี “หัวใจเดียวกัน” ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของปัญหาอีกมากมายที่จะตามมาในระยะยาว
.
นี่คือแนวคิดสุดท้ายที่สำคัญที่สุดใน #Framework3R ของเรา
.
“RECRUIT” ไม่ใช่แค่กระบวนการสรรหา แต่คือปรัชญาในการ “สร้างกลยุทธ์เชิงรุกเพื่อดึงดูด และคัดเลือกคนที่ใช่ ทั้งในด้านทักษะ และทัศนคติ” ให้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเรื่องราวความสำเร็จขององค์กร
.
แล้วเราจะเปลี่ยนจากการ “หาคน” ไปสู่การ “คัดเลือกนักแสดง” ได้อย่างไร ? ลองเปลี่ยนมุมมองและวิธีการในแต่ละขั้นตอนแบบนี้ครับ
.
(อ่านต่อใน Comment)
...

5 5

Nine Polthep

พวกเราใช้ความคิดสร้างสรรค์และประสบการณ์ในการช่วยลูกค้าสร้างแผนพัฒนาธุรกิจและการตลาด

Comments Box SVG iconsUsed for the like, share, comment, and reaction icons
Cover for Nine Polthep
5
Nine Polthep

Nine Polthep

พวกเราใช้ความคิดสร้างสรรค์และประสบการณ์ช่วยลูกค้าพัฒนาธุรกิจ การตลาด ในฐานะที่ปรึกษาและเพื่อนร่วมทาง

2 days ago

ในฐานะแฟนบอล Manchester United คนหนึ่ง ฤดูกาลที่ผ่านมา และช่วงปิดฤดูกาลนี้เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายครับ
.
ผลงานในสนามอาจจะไม่เป็นไปตามที่หวัง แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น “นอกสนาม” ภายใต้การบริหารของทีมผู้บริหารชุดใหม่
.
เราได้เห็นการ “ปรับขนาดทีม” ครั้งใหญ่ นักเตะชื่อดังหลายคน ที่มีค่าเหนื่อยสูงถูกปล่อยตัวออกจากทีม บางคนถูกขายออกไปในราคาที่ขาดทุน บางคนถูกปล่อยยืม
.
แฟนบอลบางกลุ่มอาจจะรู้สึกเสียดาย แต่ในโลกของธุรกิจฟุตบอลสมัยใหม่ นี่คือการตัดสินใจที่จำเป็นอย่างยิ่ง การที่ทีมไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรป ทำให้รายได้หายไปมหาศาล การแบกรับค่าใช้จ่ายจากทีมขนาดใหญ่จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
.
การ “ลดขนาดทีม” จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดทางการเงิน และที่สำคัญที่สุด มันคือการ “เคลียร์พื้นที่” ทั้งในแง่ของงบประมาณ และอัตรากำลัง เพื่อเริ่มต้นกระบวนการ “สร้างทีมขึ้นมาใหม่”
.
ตามปรัชญาและแผนการเล่นของผู้จัดการทีมคนใหม่ ผมพบว่าสถานการณ์นี้ ไม่ต่างอะไรเลยกับสิ่งที่ผู้ประกอบการ SMEs หลายท่านกำลังเผชิญอยู่ในวันนี้
.
“ฤดูกาลแข่งขันใหม่” ในโลกธุรกิจกำลังจะเริ่มขึ้น... มันคือยุคที่ AI เข้ามาเปลี่ยนกติกา และสภาวะเศรษฐกิจบีบคั้นให้ทุกการเคลื่อนไหวต้องเฉียบคมกว่าเดิม
.
การใช้ “แผนการเล่น” และ “ทีมงานชุดเดิม” ที่เคยพาเราคว้าแชมป์เมื่อหลายปีก่อน อาจจะไม่สามารถรับประกันชัยชนะในสนามของวันนี้ได้อีกต่อไป
.
จุดเริ่มต้นไม่ใช่การ “ชี้ตัวคนออก” แต่คือการ “กำหนดทิศทางขององค์กรใหม่”
.
การปรับลดคนที่ผิดพลาดที่สุด คือการทำไปเพื่อ “ลดต้นทุน” เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีทิศทางทางธุรกิจที่ชัดเจนรองรับ เหมือนผู้จัดการทีมฟุตบอลที่ขายนักเตะทิ้งโดยไม่มีแผนว่าจะซื้อใครเข้ามาเสริม หรือจะเล่นในระบบไหน
.
‘เข็มทิศ’ ต้องชัด ก่อนจะจัด ‘สัมภาระ’
.
ก่อนที่เราจะเริ่มคิดถึงการปรับโครงสร้าง หรือการปรับลดคน ภารกิจแรกที่สำคัญที่สุดของทีมผู้บริหาร คือการตอบคำถามว่า “อีก 3 ปีข้างหน้า องค์กรของเราจะยืนอยู่ตรงจุดไหน?”
.
การสร้าง “แผนธุรกิจระยะ 3 ปี” ที่ชัดเจน คือการสร้าง “เข็มทิศ” หรือ “ดาวเหนือ” ให้กับองค์กร แผนนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับผู้บริหารเท่านั้น แต่มีไว้เพื่อเป็น “เป้าหมายร่วม” ของทุกคน
.
เพื่อให้ทีมงานที่เหลืออยู่เข้าใจว่าความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนแปลงในวันนี้ กำลังจะพาองค์กรไปสู่ทิศทางใด และบทบาทของพวกเขาสำคัญต่อการเดินทางครั้งใหม่นี้อย่างไร
.
เข็มทิศนี้เอง จะเป็นตัวกำหนด “พิมพ์เขียว” ของโครงสร้างองค์กรในอนาคต และเป็นรากฐานสำคัญของการทำ “Strategic Remove”
.
เพราะคำถามจะเปลี่ยนจาก “ใครทำงานไม่ดี?” ไปเป็น “บทบาทและทักษะของใคร ที่จำเป็นต่อการบรรลุแผน 3 ปีของเรา?” ซึ่งทำให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างมีหลักการและมองไปข้างหน้าอย่างแท้จริง
----------
อยากชวนเพื่อนๆ มองฟุตบอลแบบธุรกิจ ‘ปรับทัพองค์กร’ ด้วย #Framework3R แบบนี้ครับ
.
ผมได้มีโอกาสเข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้โรงงานผลิตอาหารแปรรูปแห่งหนึ่ง เป็นธุรกิจขนาด 50–60 คน ที่กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
.
ผู้บริหารได้วางแผนธุรกิจ 3 ปีไว้อย่างชัดเจนว่า องค์กรต้องเปลี่ยนผ่านสู่การเป็น “Smart Factory” โดยนำระบบ Automation เข้ามาใช้ นี่คือ “แผนการเล่น” ใหม่ของพวกเขา และแน่นอนว่า “ทีมงานชุดเดิม” ไม่สามารถเล่นตามแผนนี้ได้ จึงเริ่มต้นกระบวนการปรับทัพด้วย 3R
.
⚽️REMOVE : การจัดทัพใหม่เพื่อความคล่องตัว (Re-aligning the Squad)
ในโลกของกีฬา ทีมที่มีผู้เล่นค่าตัวสูงแต่นั่งอยู่ข้างสนามตลอดเวลา คือทีมที่บริหารงบประมาณผิดพลาด ในโลกธุรกิจก็เช่นกัน บทบาทหน้าที่ (Role) ที่ไม่สอดคล้องกับแผนการเล่นใหม่ คือ “ต้นทุน” ที่ทำให้องค์กรอุ้ยอ้าย
.
สำหรับโรงงานแห่งนี้ บทบาทของ “พนักงานฝ่ายผลิตที่ใช้แรงงาน” กำลังจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร การ “Remove” ในที่นี้จึงไม่ใช่การไล่คนออกอย่างไร้เหตุผล แต่มันคือการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่จะ “ยุติบทบาทเดิม” เพื่อเปิดพื้นที่และงบประมาณให้กับบทบาทใหม่ที่จำเป็นกว่า
.
พนักงานบางส่วนที่ไม่สามารถปรับตัวได้ ถูกดูแลด้วยแผนการแยกทางที่ให้เกียรติ เหมือนการปล่อยตัวผู้เล่นเพื่อให้เขาได้มีโอกาสไปเติบโตกับทีมอื่นที่เหมาะสมกว่า
.
⚽️RAISE : การอัปเกรดผู้เล่นตัวหลัก (Upgrading the Core Players)
ผู้เล่นที่เก่งที่สุดของคุณในวันนี้ อาจจะยังไม่เก่งพอสำหรับเกมในวันพรุ่งนี้ หากพวกเขาไม่ได้รับการฝึกฝนทักษะใหม่ ๆ
นี่คือช่วงเวลาของการเข้า “แคมป์ฝึกซ้อม” ครั้งสำคัญ
.
โรงงานแห่งนี้ได้นำพนักงานฝ่ายผลิตเดิมที่มีความเข้าใจในตัวสินค้าอย่างลึกซึ้ง มา “Raise” ทักษะใหม่ พวกเขาถูกฝึกให้กลายเป็น “ผู้ควบคุมเครื่องจักร” และ “นักวิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพ”
.
นี่คือการเปลี่ยนจากผู้เล่นที่ใช้ “พละกำลัง” มาเป็นผู้เล่นที่ใช้ “สมอง” และ “ข้อมูล” ในการแข่งขัน เป็นการลงทุนกับผู้เล่นตัวหลักที่คุณมีอยู่ เพื่อทำให้พวกเขาเก่งขึ้น และมีคุณค่ามากขึ้นในแผนการเล่นใหม่
.
⚽️RECRUIT : การเสริมทัพด้วยผู้เล่นที่เปลี่ยนเกมได้ (Acquiring Game-Changers)
บางครั้ง ทักษะที่จำเป็นสำหรับแผนการเล่นใหม่ ก็ไม่มีอยู่เลยในทีมชุดเดิม ผู้จัดการทีมที่เก่งจึงต้องมองหาผู้เล่นจากตลาดภายนอกที่จะเข้ามาเปลี่ยนเกมได้ทันที
.
สำหรับโรงงานแห่งนี้ พวกเขาไม่เคยมีตำแหน่ง “วิศวกรระบบอัตโนมัติ” มาก่อน การ “Recruit” คนในตำแหน่งนี้เข้ามา คือการเสริมทัพด้วย “ผู้เล่นที่เปลี่ยนเกมได้” คือการนำ DNA ใหม่ที่องค์กรต้องการเข้ามา เพื่อเร่งสปีดการเปลี่ยนแปลงและยกระดับขีดความสามารถของทั้งทีม
----------
การปรับทัพองค์กร...ไม่ใช่สัญญาณของความล้มเหลว แต่มันคือสัญญาณของ “ความเป็นผู้นำ” คือความกล้าหาญที่จะยอมรับว่าสิ่งที่เป็นอยู่ อาจจะไม่ดีพอสำหรับอนาคต
.
ผู้นำที่ยอดเยี่ยมในวันนี้ คือ ผู้จัดการทีมที่มองการณ์ไกล ที่พร้อมจะตัดสินใจเรื่องยาก ๆ ในช่วง “ปิดฤดูกาล” เพื่อสร้างทีมที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับชัยชนะในฤดูกาลแข่งขันที่กำลังจะมาถึงครับ
.
#NinePolthep #BusinessConsultant #OrganizationalRestructuring
#3RFramework #SMEs #Leadership #FutureOfWork
... See MoreSee Less

ในฐานะแฟนบอล Manchester United คนหนึ่ง ฤดูกาลที่ผ่านมา และช่วงปิดฤดูกาลนี้เป็นช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ที่หลากหลายครับ
.
ผลงานในสนามอาจจะไม่เป็นไปตามที่หวัง แต่สิ่งที่น่าสนใจกว่านั้น คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น “นอกสนาม” ภายใต้การบริหารของทีมผู้บริหารชุดใหม่
.
เราได้เห็นการ “ปรับขนาดทีม” ครั้งใหญ่ นักเตะชื่อดังหลายคน ที่มีค่าเหนื่อยสูงถูกปล่อยตัวออกจากทีม บางคนถูกขายออกไปในราคาที่ขาดทุน บางคนถูกปล่อยยืม
.
แฟนบอลบางกลุ่มอาจจะรู้สึกเสียดาย แต่ในโลกของธุรกิจฟุตบอลสมัยใหม่ นี่คือการตัดสินใจที่จำเป็นอย่างยิ่ง การที่ทีมไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรป ทำให้รายได้หายไปมหาศาล การแบกรับค่าใช้จ่ายจากทีมขนาดใหญ่จึงเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
.
การ “ลดขนาดทีม” จึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดทางการเงิน และที่สำคัญที่สุด มันคือการ “เคลียร์พื้นที่” ทั้งในแง่ของงบประมาณ และอัตรากำลัง เพื่อเริ่มต้นกระบวนการ “สร้างทีมขึ้นมาใหม่” 
.
ตามปรัชญาและแผนการเล่นของผู้จัดการทีมคนใหม่ ผมพบว่าสถานการณ์นี้ ไม่ต่างอะไรเลยกับสิ่งที่ผู้ประกอบการ SMEs หลายท่านกำลังเผชิญอยู่ในวันนี้
.
“ฤดูกาลแข่งขันใหม่” ในโลกธุรกิจกำลังจะเริ่มขึ้น... มันคือยุคที่ AI เข้ามาเปลี่ยนกติกา และสภาวะเศรษฐกิจบีบคั้นให้ทุกการเคลื่อนไหวต้องเฉียบคมกว่าเดิม
.
การใช้ “แผนการเล่น” และ “ทีมงานชุดเดิม” ที่เคยพาเราคว้าแชมป์เมื่อหลายปีก่อน อาจจะไม่สามารถรับประกันชัยชนะในสนามของวันนี้ได้อีกต่อไป
.
จุดเริ่มต้นไม่ใช่การ “ชี้ตัวคนออก” แต่คือการ “กำหนดทิศทางขององค์กรใหม่”
.
การปรับลดคนที่ผิดพลาดที่สุด คือการทำไปเพื่อ “ลดต้นทุน” เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีทิศทางทางธุรกิจที่ชัดเจนรองรับ เหมือนผู้จัดการทีมฟุตบอลที่ขายนักเตะทิ้งโดยไม่มีแผนว่าจะซื้อใครเข้ามาเสริม หรือจะเล่นในระบบไหน
.
‘เข็มทิศ’ ต้องชัด ก่อนจะจัด ‘สัมภาระ’
.
ก่อนที่เราจะเริ่มคิดถึงการปรับโครงสร้าง หรือการปรับลดคน ภารกิจแรกที่สำคัญที่สุดของทีมผู้บริหาร คือการตอบคำถามว่า “อีก 3 ปีข้างหน้า องค์กรของเราจะยืนอยู่ตรงจุดไหน?”
.
การสร้าง “แผนธุรกิจระยะ 3 ปี” ที่ชัดเจน คือการสร้าง “เข็มทิศ” หรือ “ดาวเหนือ” ให้กับองค์กร แผนนี้ไม่ได้มีไว้สำหรับผู้บริหารเท่านั้น แต่มีไว้เพื่อเป็น “เป้าหมายร่วม” ของทุกคน
.
เพื่อให้ทีมงานที่เหลืออยู่เข้าใจว่าความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนแปลงในวันนี้ กำลังจะพาองค์กรไปสู่ทิศทางใด และบทบาทของพวกเขาสำคัญต่อการเดินทางครั้งใหม่นี้อย่างไร
.
เข็มทิศนี้เอง จะเป็นตัวกำหนด “พิมพ์เขียว” ของโครงสร้างองค์กรในอนาคต และเป็นรากฐานสำคัญของการทำ “Strategic Remove”
.
เพราะคำถามจะเปลี่ยนจาก “ใครทำงานไม่ดี?” ไปเป็น “บทบาทและทักษะของใคร ที่จำเป็นต่อการบรรลุแผน 3 ปีของเรา?” ซึ่งทำให้การตัดสินใจเป็นไปอย่างมีหลักการและมองไปข้างหน้าอย่างแท้จริง
----------
อยากชวนเพื่อนๆ มองฟุตบอลแบบธุรกิจ ‘ปรับทัพองค์กร’ ด้วย #Framework3R แบบนี้ครับ
.
ผมได้มีโอกาสเข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้โรงงานผลิตอาหารแปรรูปแห่งหนึ่ง เป็นธุรกิจขนาด 50–60 คน ที่กำลังเผชิญหน้ากับความท้าทายครั้งใหญ่จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี
.
ผู้บริหารได้วางแผนธุรกิจ 3 ปีไว้อย่างชัดเจนว่า องค์กรต้องเปลี่ยนผ่านสู่การเป็น “Smart Factory” โดยนำระบบ Automation เข้ามาใช้ นี่คือ “แผนการเล่น” ใหม่ของพวกเขา และแน่นอนว่า “ทีมงานชุดเดิม” ไม่สามารถเล่นตามแผนนี้ได้ จึงเริ่มต้นกระบวนการปรับทัพด้วย 3R
.
⚽️REMOVE : การจัดทัพใหม่เพื่อความคล่องตัว (Re-aligning the Squad)
ในโลกของกีฬา ทีมที่มีผู้เล่นค่าตัวสูงแต่นั่งอยู่ข้างสนามตลอดเวลา คือทีมที่บริหารงบประมาณผิดพลาด ในโลกธุรกิจก็เช่นกัน บทบาทหน้าที่ (Role) ที่ไม่สอดคล้องกับแผนการเล่นใหม่ คือ “ต้นทุน” ที่ทำให้องค์กรอุ้ยอ้าย 
.
สำหรับโรงงานแห่งนี้ บทบาทของ “พนักงานฝ่ายผลิตที่ใช้แรงงาน” กำลังจะถูกแทนที่ด้วยเครื่องจักร การ “Remove” ในที่นี้จึงไม่ใช่การไล่คนออกอย่างไร้เหตุผล แต่มันคือการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ที่จะ “ยุติบทบาทเดิม” เพื่อเปิดพื้นที่และงบประมาณให้กับบทบาทใหม่ที่จำเป็นกว่า
.
พนักงานบางส่วนที่ไม่สามารถปรับตัวได้ ถูกดูแลด้วยแผนการแยกทางที่ให้เกียรติ เหมือนการปล่อยตัวผู้เล่นเพื่อให้เขาได้มีโอกาสไปเติบโตกับทีมอื่นที่เหมาะสมกว่า
.
⚽️RAISE : การอัปเกรดผู้เล่นตัวหลัก (Upgrading the Core Players)
ผู้เล่นที่เก่งที่สุดของคุณในวันนี้ อาจจะยังไม่เก่งพอสำหรับเกมในวันพรุ่งนี้ หากพวกเขาไม่ได้รับการฝึกฝนทักษะใหม่ ๆ
นี่คือช่วงเวลาของการเข้า “แคมป์ฝึกซ้อม” ครั้งสำคัญ
.
โรงงานแห่งนี้ได้นำพนักงานฝ่ายผลิตเดิมที่มีความเข้าใจในตัวสินค้าอย่างลึกซึ้ง มา “Raise” ทักษะใหม่ พวกเขาถูกฝึกให้กลายเป็น “ผู้ควบคุมเครื่องจักร” และ “นักวิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพ”
.
นี่คือการเปลี่ยนจากผู้เล่นที่ใช้ “พละกำลัง” มาเป็นผู้เล่นที่ใช้ “สมอง” และ “ข้อมูล” ในการแข่งขัน เป็นการลงทุนกับผู้เล่นตัวหลักที่คุณมีอยู่ เพื่อทำให้พวกเขาเก่งขึ้น และมีคุณค่ามากขึ้นในแผนการเล่นใหม่
.
⚽️RECRUIT : การเสริมทัพด้วยผู้เล่นที่เปลี่ยนเกมได้ (Acquiring Game-Changers)
บางครั้ง ทักษะที่จำเป็นสำหรับแผนการเล่นใหม่ ก็ไม่มีอยู่เลยในทีมชุดเดิม ผู้จัดการทีมที่เก่งจึงต้องมองหาผู้เล่นจากตลาดภายนอกที่จะเข้ามาเปลี่ยนเกมได้ทันที
.
สำหรับโรงงานแห่งนี้ พวกเขาไม่เคยมีตำแหน่ง “วิศวกรระบบอัตโนมัติ” มาก่อน การ “Recruit” คนในตำแหน่งนี้เข้ามา คือการเสริมทัพด้วย “ผู้เล่นที่เปลี่ยนเกมได้” คือการนำ DNA ใหม่ที่องค์กรต้องการเข้ามา เพื่อเร่งสปีดการเปลี่ยนแปลงและยกระดับขีดความสามารถของทั้งทีม
----------
การปรับทัพองค์กร...ไม่ใช่สัญญาณของความล้มเหลว แต่มันคือสัญญาณของ “ความเป็นผู้นำ” คือความกล้าหาญที่จะยอมรับว่าสิ่งที่เป็นอยู่ อาจจะไม่ดีพอสำหรับอนาคต
.
ผู้นำที่ยอดเยี่ยมในวันนี้ คือ ผู้จัดการทีมที่มองการณ์ไกล ที่พร้อมจะตัดสินใจเรื่องยาก ๆ ในช่วง “ปิดฤดูกาล” เพื่อสร้างทีมที่แข็งแกร่งที่สุดสำหรับชัยชนะในฤดูกาลแข่งขันที่กำลังจะมาถึงครับ
.
#NinePolthep #BusinessConsultant #OrganizationalRestructuring
#3RFramework #SMEs #Leadership #FutureOfWork
4 days ago

🚨 ทำไมเราถึงกล้า การันตี ว่าเราทำให้ยอดขายลูกค้าเติบโตได้ ?
.
เพราะเราทำงานตั้งแต่กระบวนการวางแผนกลยุทธ์ ธุรกิจ และการตลาด
.
มีระบบการติดตามงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ผลลัพธ์จากการทำโฆษณาของคุณ #คุ้มค่า การลงทุนของคุณมากที่สุด
.
ที่สำคัญ​เรามีประสบการณ์จริง ที่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไร ให้ธุรกิจคุณเติบโต
.
ยกตัวอย่าง เจ้าของคลินิกหลายท่านมักเจอปัญหานี้ซ้ำๆ
.
🚫ยิงแอดแล้วไม่ผ่าน โดนแบนบ้าง โดนปิดเพจบ้าง
🚫อยากทำแคมเปญ แต่ไม่รู้ว่าคำไหนปลอดภัย
.
และที่เจอบ่อยที่สุด
‼️ยิงแอดเองแล้วโดนแบน โดยไม่รู้ว่า “ผิดอะไร”‼️
.
ปัญหาเหล่านี้ มีทางออกครับ
.
เพราะฉะนั้น
✅ คลินิกไม่ควรทำตลาดแบบลองผิดลองถูกคนเดียว
✅ ต้องมี “ทีม” ที่เข้าใจแพลตฟอร์ม และรู้วิธีวางกลยุทธ์ให้ธุรกิจโตได้จริง
.
📩 หากสนใจให้เราช่วยดูแลการตลาดให้คลินิกคุณ ทักแชทเข้ามาคุยกันก่อนได้เลยครับ
----------
🎯ปรึกษาธุรกิจ และการตลาดออนไลน์
ได้ที่ LINE OA : @ninepolthep (มี @ นำหน้า) หรือ
คลิกเพิ่มเพื่อน > bit.ly/NinePolthep
TikTok, Instagram, Youtube : Nine Polthep
Tel : 092-969-9990 (คุณฟุกค์)
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ninepolthep.com/business-marketing-consulting/
.
#ที่ปรึกษาธุรกิจและการตลาด #เพื่อนคู่คิดทางธุรกิจ #business #BusinessConsultant #digitalmarketing #marketing #marketingstrategy #businessgrowth #BusinessSuccess #การตลาดออนไลน์ #แผนธุรกิจ #ที่ปรึกษาธุรกิจ
... See MoreSee Less

5 days ago

เย็นวันเสาร์ที่ผ่านมา... ผมกับลูกชายวัย 10 ขวบ กำลังเตะฟุตบอลกันอยู่หน้าบ้าน บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นของเขา
.
เพราะเขาอยากจะฝึกซ้อมให้คล่องก่อนเปิดเทอมหน้า จะได้กลับไปเล่นกับเพื่อนๆ ได้อย่างมั่นใจ หลังจากที่หยุดเล่นไปสองปีกว่า
.
ผมเห็นความพยายามในทุกลูกที่วิ่งตาม แต่ก็เห็นว่าทักษะหลายอย่างยังไม่เข้าที่ ทั้งการส่งบอล การยิงประตู และโดยเฉพาะ “การจับบอลแรก” ที่มักจะกระฉอกออกไปไกลตัวเสมอ
.
ในวินาทีที่เขาส่งบอลพลาดอีกครั้งแล้วหันมามองผมด้วยแววตาที่เริ่มท้อแท้ ผมในฐานะ “พ่อ” และ “โค้ชจำเป็น” ในขณะนั้น กำลังยืนอยู่บนทางแยกของการสื่อสาร
.
ทางแยกหนึ่ง คือการชี้จุดอ่อนทั้งหมดที่ผมเห็น “การจับบอลก็ยังไม่ดี การส่งบอลก็น้ำหนักขาดไปนะ” ซึ่งแน่นอนว่ามันจะดับฝัน และทำลายความตั้งใจที่เขากำลังพยายามสร้างขึ้นมาใหม่
.
กับอีกทางแยกหนึ่ง คือการให้กำลังใจอย่างเดียว “ไม่เป็นไรลูก เอาใหม่” แต่ลึกๆแล้ว ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ช่วยมอบเครื่องมือให้ลูกได้พัฒนาไปสู่เป้าหมายที่เขาตั้งใจไว้
.
ผมเชื่อว่านี่คือสถานการณ์เดียวกับที่ผู้นำ หรือหัวหน้างานทุกท่านต้องเผชิญ เมื่อทีมงานกำลังพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ พวกเขามีความตั้งใจเต็มร้อย แต่ผลงานยังเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง
----------
เราจะให้ Feedback อย่างไร ที่จะไม่ทำลายกำลังใจ... แต่ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถสอนให้เขาพัฒนาและเติบโตขึ้นได้ ?
.
สำหรับผม คำตอบของเรื่องนี้คือเทคนิคที่ผมใช้กับลูกชายอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกับที่เราใช้ในการพัฒนาผู้นำในหลักสูตร นั่นคือ #BurgerFeedback
.
ลองนึกภาพแฮมเบอร์เกอร์อร่อย ๆ สักชิ้นสิครับ มันประกอบด้วย ขนมปัง ส่วนที่นุ่มนวลและทำให้เบอร์เกอร์น่าทาน เนื้อ ส่วนที่สำคัญที่สุด เป็นหัวใจของรสชาติทั้งหมด การให้ฟีดแบ็กก็เช่นเดียวกันครับ
.
🍔เราเริ่มต้นด้วย “ขนมปังชิ้นบน” คือการชื่นชมใน “ความพยายาม” หรือ “ทัศนคติ” ที่เขาแสดงออกมาอย่างเฉพาะเจาะจง เพื่อเปิดใจ และทำให้เขารู้สึกว่าเรามองเห็นความตั้งใจของเขา
.
🍔จากนั้นจึงค่อยใส่ “เนื้อ” ซึ่งก็คือ “ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนา” เราจะเลือกพูดถึงจุดที่สำคัญที่สุดเพียงจุดเดียวที่ควรปรับปรุง ด้วยภาษาที่สร้างสรรค์และเน้นไปที่ “ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในอนาคต”
.
🍔สุดท้าย เราจะปิดท้ายด้วย “ขนมปังชิ้นล่าง” คือการให้กำลังใจ และย้ำเตือนถึงความเชื่อมั่นที่เรามีในตัวเขา เพื่อทำให้เขารู้สึกว่าบทสนทนานี้จบลงด้วยพลังบวก และมีแรงที่จะลุกขึ้นไปพยายามต่อ
----------
ในโลกการทำงานก็ไม่ต่างกันครับ ทีมงานของเราเคยได้ยินที่คนสมัยก่อนเขาพูดกันไหมครับ “จะลูกเรา หรือ ลูกน้อง มันก็เหมือนกัน”
.
ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ก็ยังคงต้องการกำลังใจ และความเชื่อมั่นจากหัวหน้า ไม่ต่างจากที่ลูกต้องการจากผม
.
การใช้ Burger Feedback ไม่ใช่เทคนิคการสื่อสารที่ซับซ้อน...แต่มันคือการแสดงออกถึงทัศนคติของผู้นำที่เชื่อว่า หน้าที่ของเราไม่ใช่การ “จับผิด” แต่คือการ #RAISE หรือการ “ยกระดับ” ศักยภาพของทีม
.
มันคือการสร้างวัฒนธรรมที่ทำให้คนกล้ายอมรับข้อบกพร่อง เพราะเขารู้ว่าจะไม่ถูกตัดสิน และทำให้การพัฒนาตัวเองไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว แต่เป็นเส้นทางที่น่าตื่นเต้นที่เราในฐานะผู้นำและทีมงานจะเติบโตไปพร้อมๆกัน
.
เพราะท้ายที่สุดแล้ว การเป็นผู้นำ ก็อาจจะเหมือนกับการเป็นพ่อแม่ ที่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือการได้เห็นคนที่อยู่ในการดูแลของเราเติบโตขึ้น และกลายเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดของตัวเขาเอง
.
#NinePolthep #BusinessConsultant #Leadership #BurgerFeedback #Parenting
#GrowthMindset #RAISE
... See MoreSee Less

เย็นวันเสาร์ที่ผ่านมา... ผมกับลูกชายวัย 10 ขวบ กำลังเตะฟุตบอลกันอยู่หน้าบ้าน บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ แต่ก็สัมผัสได้ถึงความมุ่งมั่นของเขา 
.
เพราะเขาอยากจะฝึกซ้อมให้คล่องก่อนเปิดเทอมหน้า จะได้กลับไปเล่นกับเพื่อนๆ ได้อย่างมั่นใจ หลังจากที่หยุดเล่นไปสองปีกว่า
.
ผมเห็นความพยายามในทุกลูกที่วิ่งตาม แต่ก็เห็นว่าทักษะหลายอย่างยังไม่เข้าที่ ทั้งการส่งบอล การยิงประตู และโดยเฉพาะ “การจับบอลแรก” ที่มักจะกระฉอกออกไปไกลตัวเสมอ
.
ในวินาทีที่เขาส่งบอลพลาดอีกครั้งแล้วหันมามองผมด้วยแววตาที่เริ่มท้อแท้ ผมในฐานะ “พ่อ” และ “โค้ชจำเป็น” ในขณะนั้น กำลังยืนอยู่บนทางแยกของการสื่อสาร
.
ทางแยกหนึ่ง คือการชี้จุดอ่อนทั้งหมดที่ผมเห็น “การจับบอลก็ยังไม่ดี การส่งบอลก็น้ำหนักขาดไปนะ” ซึ่งแน่นอนว่ามันจะดับฝัน และทำลายความตั้งใจที่เขากำลังพยายามสร้างขึ้นมาใหม่
.
กับอีกทางแยกหนึ่ง คือการให้กำลังใจอย่างเดียว “ไม่เป็นไรลูก เอาใหม่” แต่ลึกๆแล้ว ผมก็จะรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ช่วยมอบเครื่องมือให้ลูกได้พัฒนาไปสู่เป้าหมายที่เขาตั้งใจไว้
.
ผมเชื่อว่านี่คือสถานการณ์เดียวกับที่ผู้นำ หรือหัวหน้างานทุกท่านต้องเผชิญ เมื่อทีมงานกำลังพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ พวกเขามีความตั้งใจเต็มร้อย แต่ผลงานยังเต็มไปด้วยข้อบกพร่อง
----------
เราจะให้ Feedback อย่างไร ที่จะไม่ทำลายกำลังใจ... แต่ในขณะเดียวกันก็ยังสามารถสอนให้เขาพัฒนาและเติบโตขึ้นได้ ?
.
สำหรับผม คำตอบของเรื่องนี้คือเทคนิคที่ผมใช้กับลูกชายอยู่เสมอ ซึ่งเป็นเทคนิคเดียวกับที่เราใช้ในการพัฒนาผู้นำในหลักสูตร นั่นคือ #BurgerFeedback
.
ลองนึกภาพแฮมเบอร์เกอร์อร่อย ๆ สักชิ้นสิครับ มันประกอบด้วย ขนมปัง ส่วนที่นุ่มนวลและทำให้เบอร์เกอร์น่าทาน เนื้อ ส่วนที่สำคัญที่สุด เป็นหัวใจของรสชาติทั้งหมด การให้ฟีดแบ็กก็เช่นเดียวกันครับ 
.
🍔เราเริ่มต้นด้วย “ขนมปังชิ้นบน” คือการชื่นชมใน “ความพยายาม” หรือ “ทัศนคติ” ที่เขาแสดงออกมาอย่างเฉพาะเจาะจง เพื่อเปิดใจ และทำให้เขารู้สึกว่าเรามองเห็นความตั้งใจของเขา
.
🍔จากนั้นจึงค่อยใส่ “เนื้อ” ซึ่งก็คือ “ข้อเสนอแนะเพื่อการพัฒนา” เราจะเลือกพูดถึงจุดที่สำคัญที่สุดเพียงจุดเดียวที่ควรปรับปรุง ด้วยภาษาที่สร้างสรรค์และเน้นไปที่ “ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นในอนาคต”
.
🍔สุดท้าย เราจะปิดท้ายด้วย “ขนมปังชิ้นล่าง” คือการให้กำลังใจ และย้ำเตือนถึงความเชื่อมั่นที่เรามีในตัวเขา เพื่อทำให้เขารู้สึกว่าบทสนทนานี้จบลงด้วยพลังบวก และมีแรงที่จะลุกขึ้นไปพยายามต่อ
----------
ในโลกการทำงานก็ไม่ต่างกันครับ ทีมงานของเราเคยได้ยินที่คนสมัยก่อนเขาพูดกันไหมครับ “จะลูกเรา หรือ ลูกน้อง มันก็เหมือนกัน”
.
ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ ก็ยังคงต้องการกำลังใจ และความเชื่อมั่นจากหัวหน้า ไม่ต่างจากที่ลูกต้องการจากผม
.
การใช้ Burger Feedback ไม่ใช่เทคนิคการสื่อสารที่ซับซ้อน...แต่มันคือการแสดงออกถึงทัศนคติของผู้นำที่เชื่อว่า หน้าที่ของเราไม่ใช่การ “จับผิด” แต่คือการ #RAISE หรือการ “ยกระดับ” ศักยภาพของทีม
.
มันคือการสร้างวัฒนธรรมที่ทำให้คนกล้ายอมรับข้อบกพร่อง เพราะเขารู้ว่าจะไม่ถูกตัดสิน และทำให้การพัฒนาตัวเองไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว แต่เป็นเส้นทางที่น่าตื่นเต้นที่เราในฐานะผู้นำและทีมงานจะเติบโตไปพร้อมๆกัน
.
เพราะท้ายที่สุดแล้ว การเป็นผู้นำ ก็อาจจะเหมือนกับการเป็นพ่อแม่ ที่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือการได้เห็นคนที่อยู่ในการดูแลของเราเติบโตขึ้น และกลายเป็นเวอร์ชันที่ดีที่สุดของตัวเขาเอง
.
#NinePolthep #BusinessConsultant #Leadership #BurgerFeedback #Parenting
#GrowthMindset #RAISE
5 days ago

#จ้างconsult คุ้มจริงไหม ?
.
ส่วนใหญ่มักจะมองค่าจ้าง ค่าตัว ของที่ปรึกษาว่าแพง ไม่มีงบประมาณที่จะจ้าง
.
และเลือกจะคิดเองทำเอง หรือหลายๆคนก็เลือกที่จะปรึกษาเพื่อน
.
💢บางครั้ง ก็ลืมไปว่าเพื่อนไม่ได้อยู่ช่วยตลอดเวลา
💢บางครั้ง เพื่อนเราไม่ได้เข้าใจบริบททางธุรกิจของเราครบถ้วนมากพอ ที่จะให้คำปรึกษาได้อย่างถูกต้องตรงจุด
💢บางครั้ง เพื่อนก็ไม่ได้เชี่ยวชาญชำนาญในเรื่องนั้นๆ มากพอที่จะช่วยให้เราแก้ปัญหาได้อย่างถูกต้อง
.
บางคน กว่าจะรู้ตัวว่าแย่ ปัญหาก็หนักเกินจะแก้ได้ไปแล้ว
.
สิ่งที่เจ้าของธุรกิจ หลายๆคน ลืมคิดไปก็คือ
💸ต้นทุนทางธุรกิจ
💸ค่าเสียโอกาส
ที่อาจจะแพงกว่าค่าจ้างที่ปรึกษาซะด้วยซ้ำ
.
จากประสบการณ์ที่พวกเรา NinePolthep ได้พูดคุยกับเจ้าของธุรกิจหลายๆท่าน มักจะได้ยินคำว่า "เสียดาย" ที่ได้คุยกันช้าไป เจอกันช้าไป
.
ที่ผ่านมาต้องคิด และตัดสินใจด้วยตัวคนเดียว และมักจะพลาด เพราะ 'เวลา' ไม่พอที่จะทำทุกๆเรื่องด้วยตัวคนเดียว
.
หลายๆเรื่องก็ปรึกษาทีมงานตัวเองไม่ได้ หรือทีมงานที่มี ไม่เก่งพอที่จะให้ปรึกษา หรือ แบ่งเบาเรื่องยากๆออกไปได้
.
📍เลิกกลัวการจ้าง 'ที่ปรึกษาธุรกิจ' เปลี่ยนมากลัวที่จะต้องจ่าย "ค่าเสียโอกาส" ที่แพงมหาศาลกันเถอะครับ
.
เพราะแต่ละปีที่ผ่านไปคือต้นทุนทางธุรกิจคุณเสียไปแบบไม่สามารถย้อนกลับมาได้อีก
.
ให้พวกเรา NinePolthep ช่วยคุณคว้าโอกาสทางธุรกิจที่อยู่รอบๆตัวคุณ
.
เช่นเดียวกับหลายๆธุรกิจ ที่พวกเราได้รับโอกาส และความเชื่อมั่น
.
ให้ช่วยดูแลวางแผนธุรกิจ ออกแบบแผนการตลาด ที่สร้างยอดขายให้เกิดขึ้น เติบโตอย่างเป็นระบบ
.
ใช้งบประมาณการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพเกินความคุ้มค่า ไปมากมายหลายเท่าตัว
.
ลองมาพูดคุยกันดูนะครับ บางเรื่องพวกเราอาจจะช่วยคุณได้นะครับ
----------
🎯ปรึกษาธุรกิจ และการตลาดออนไลน์
ได้ที่ LINE OA : @ninepolthep (มี @ นำหน้า) หรือ
คลิกเพิ่มเพื่อน > bit.ly/NinePolthep
TikTok, Instagram, Youtube : Nine Polthep
Tel : 092-969-9990 (คุณฟุกค์)
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ninepolthep.com/business-marketing-consulting/
.
#ที่ปรึกษาธุรกิจและการตลาด #เพื่อนคู่คิดทางธุรกิจ #business #BusinessConsultant #digitalmarketing #marketing #marketingstrategy #businessgrowth #BusinessSuccess #การตลาดออนไลน์ #แผนธุรกิจ #ที่ปรึกษาธุรกิจ
... See MoreSee Less

5 days ago

#เพื่อนคู่คิดทางธุรกิจ
.
พวกเรามักจะได้พบกับ "เจ้าของธุรกิจ" ที่ต้องรับผิดชอบธุรกิจของตัวเองพร้อมกันในหลายๆด้าน
.
บ่อยครั้ง ที่งานท่วม งานล้น ทำงานไม่ทัน จนเกิดความเสียหาย
.
🎯การตลาดออนไลน์ เป็นหนึ่งในเรื่องที่เจ้าของธุรกิจ มักจะมองหาตัวช่วยเพื่อให้เข้ามาช่วยแบ่งเบางานที่ตัวเองอาจจะไม่ถนัดออกไป
.
🔥หลายครั้ง "เสียงบยิงแอด" ไปมากมาย แต่กลับได้ยอดขายกลับมาไม่คุ้มค่า
.
พวกเรา NinePolthep ช่วยคุณได้ครับ
.
เราจะเป็น #ที่ปรึกษาธุรกิจ มากกว่าการเป็น #เอเจนซี่ ที่ร่วมวางแผนธุรกิจ แผนการตลาด ร่วมคิด ร่วมสร้างธุรกิจของคุณ
.
✅วิเคราะห์ แก้ปัญหา ที่ต้นตอ
✅ให้คำปรึกษาในการปรับปรุง กระบวนการธุรกิจให้มีประสิทธิภาพ
✅สร้างธุรกิจให้เติบโต อย่างแข็งแรงมั่นคง
.
ด้วยทีมงานมืออาชีพ และระบบการบริหารจัดการ ให้งานการตลาดของคุณดำเนินไปอย่างเป็นระบบ
.
ที่สำคัญ #บริหารงบโฆษณา ให้การ #ยิงแอด มีประสิทธิภาพ สร้างยอดขายให้ธุรกิจของคุณได้จริง
.
💬ถ้าหากคุณมีปัญหาทางธุรกิจ และต้องการเพื่อนคู่คิด ที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโต ผ่านปัญหา ผ่านวิกฤษเศรษฐกิจไปได้ ลองมาปรึกษาพวกเราดูสิครับ
.
โอกาสในการพาธุรกิจเติบโต อาจอยู่ไม่ไกลอย่างที่คิด
----------
🎯ปรึกษาธุรกิจ และการตลาดออนไลน์
ได้ที่ LINE OA : @ninepolthep (มี @ นำหน้า) หรือ
คลิกเพิ่มเพื่อน > bit.ly/NinePolthep
TikTok, Instagram, Youtube : Nine Polthep
Tel : 092-969-9990 (คุณฟุกค์)
ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ : ninepolthep.com/business-marketing-consulting/
.
#NinePolthep #BusinessConsultant #ที่ปรึกษาธุรกิจและการตลาด #digitalmarketing #marketing #branding #onlinemarketing #ยิงแอด #โฆษณา #ธุรกิจ
... See MoreSee Less

7 days ago

สมัยเด็กผมเคยเลี้ยงปลาทองในโหลแก้วเล็กๆ ผมดูแลมันอย่างดี ให้อาหารทุกวัน เปลี่ยนน้ำสม่ำเสมอ
.
แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เจ้าปลาทองตัวนั้นก็ไม่เคยตัวใหญ่ขึ้นเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมตัดสินใจย้ายมันไปอยู่ในตู้ปลาที่ใหญ่กว่ามาก
.
ไม่น่าเชื่อว่าภายในเวลาไม่กี่เดือน เจ้าปลาทองตัวเดิมกลับมีขนาดใหญ่ขึ้นเกือบเท่าตัว
.
เรื่องนี้สอนความจริงที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังให้ผมว่า… ศักยภาพของสิ่งมีชีวิต ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยความสามารถของมันเพียงอย่างเดียว แต่ถูกจำกัดด้วย “ขนาดของสภาพแวดล้อม” ที่มันอาศัยอยู่ด้วย
.
ในโลกของธุรกิจก็เช่นเดียวกัน ทีมงานของคุณอาจจะเต็มไปด้วยคนที่มีศักยภาพสูง แต่ถ้า “สภาพแวดล้อม” ที่คุณในฐานะผู้นำสร้างขึ้น มันมีขนาดเท่ากับ “โหลปลาทอง” ทีมของคุณก็จะไม่มีวันเติบโตไปได้ไกลกว่านั้น
----------
นี่คือแก่นของแนวคิดที่ชื่อว่า #ทฤษฎีฝาขวด (Lid Theory) จากหนังสือคลาสสิกของ John C. Maxwell ที่เราใช้เป็นหนึ่งในเสาหลักของการพัฒนาผู้นำ
.
ทฤษฎีนี้บอกไว้ว่า “ระดับความสามารถของผู้นำ คือฝาขวดที่ปิดกั้นเพดานการเติบโตของทั้งองค์กร”
.
ลองจินตนาการว่าทีมของคุณคือของเหลวที่อยู่ในขวด ส่วนตัวคุณคือ “ฝาขวด” ที่ปิดอยู่ด้านบน
.
📌ผู้นำแบบฝาขวดต่ำ คือ ผู้นำที่หยุดเรียนรู้และพัฒนาตนเอง พวกเขาอาจจะเก่งในระดับหนึ่ง แต่เมื่อทีมเริ่มเก่งขึ้น ไอเดียของทีมเริ่มท้าทายความเชื่อเดิมๆของผู้นำ
.
ผู้นำแบบนี้จะเริ่มรู้สึกไม่มั่นคง และจะ “กด” ศักยภาพของทีมเอาไว้โดยไม่รู้ตัวผลลัพธ์คือ ทีมที่เก่งแค่ไหน ก็จะเติบโตไปชนเพดานความสามารถของผู้นำได้เท่านั้น
.
เราจะเริ่มได้ยินประโยคอย่าง “อย่าทำเลย วิธีนี้ไม่เคยมีใครทำ” หรือ “ทำตามที่ผมบอกก็พอแล้ว”
.
📌ผู้นำแบบฝาขวดสูง (High Lid): คือผู้นำที่พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ พวกเขาไม่กล้าที่จะจ้างคนที่เก่งกว่าตนเอง และมองว่าความสำเร็จของทีม คือความสำเร็จของตนเอง
.
ผู้นำแบบนี้จะคอย “ยกระดับฝาขวด” ของตัวเองให้สูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้ทีมมีพื้นที่ว่างในการเติบโตอย่างมหาศาล เพราะผู้นำเป็นคนเปิดโอกาส และยกระดับทีมอยู่เสมอ
----------
แล้วผู้นำจะ “ยกระดับฝาขวด” ของตนเองได้อย่างไร ?
.
ข่าวดีก็คือ… ฝาขวดนี้ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยพรสวรรค์ แต่มันคือทักษะที่ผู้นำทุกคนสามารถยกระดับได้ หากคุณตระหนักและพร้อมที่จะลงมือทำ
.
✅เปลี่ยนจาก ‘ผู้รู้’ เป็น ‘ผู้เรียนรู้’ (Be a Learn-it-all, not a Know-it-all) : คนที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่างแล้ว พวกเขาอ่านหนังสือ เข้าเรียนคอร์ส พูดคุยกับคนที่เก่งกว่า และมองหาความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ เพราะเขารู้ว่า ทันทีที่เขาหยุดเรียนรู้ ฝาขวดของเขาก็จะหยุดนิ่ง
.
✅จ้างคนที่ท้าทายคุณ ไม่ใช่คนที่ยอมตามคุณ : ผู้นำแบบฝาขวดต่ำจะรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ท่ามกลางคนที่ไม่เก่งเท่าตัวเอง แต่ผู้นำแบบฝาขวดสูงจะมองหาคนที่เก่งกว่า คนที่กล้าจะถกเถียงด้วยเหตุผล คนที่นำมุมมองใหม่ๆ เข้ามาเพราะพวกเขาไม่ได้มองหา “บริวาร” แต่กำลังมองหา “ขุนพล” ที่จะช่วยกันขยายอาณาจักร
.
✅เปลี่ยนจากการ ‘ออกคำสั่ง’ เป็นการ ‘ตั้งคำถาม’ : ผู้นำที่เก่งที่สุดไม่ได้มีหน้าที่ “ให้คำตอบ” ที่ถูกต้องที่สุด แต่มีหน้าที่ “ตั้งคำถาม” เพื่อปลดล็อกศักยภาพ และคำตอบที่ซ่อนอยู่ในทีม
.
เส้นทางการเป็นผู้นำคือการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด หากคุณเชื่อในการเติบโตที่ไม่หยุดนิ่งเช่นกัน กดติดตามเพจ NinePolthep ไว้ ให้เราเป็นเพื่อนคู่คิด เรียนรู้และเติบโตไปบนเส้นทางสายนี้ด้วยกันครับ
.
#NinePolthep #BusinessConsultant #Leadership #LidTheory #GrowthMindset #SelfDevelopment #SMEs
... See MoreSee Less

สมัยเด็กผมเคยเลี้ยงปลาทองในโหลแก้วเล็กๆ ผมดูแลมันอย่างดี ให้อาหารทุกวัน เปลี่ยนน้ำสม่ำเสมอ
.
แต่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน เจ้าปลาทองตัวนั้นก็ไม่เคยตัวใหญ่ขึ้นเลย จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมตัดสินใจย้ายมันไปอยู่ในตู้ปลาที่ใหญ่กว่ามาก
.
ไม่น่าเชื่อว่าภายในเวลาไม่กี่เดือน เจ้าปลาทองตัวเดิมกลับมีขนาดใหญ่ขึ้นเกือบเท่าตัว
.
เรื่องนี้สอนความจริงที่เรียบง่ายแต่ทรงพลังให้ผมว่า… ศักยภาพของสิ่งมีชีวิต ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยความสามารถของมันเพียงอย่างเดียว แต่ถูกจำกัดด้วย “ขนาดของสภาพแวดล้อม” ที่มันอาศัยอยู่ด้วย
.
ในโลกของธุรกิจก็เช่นเดียวกัน ทีมงานของคุณอาจจะเต็มไปด้วยคนที่มีศักยภาพสูง แต่ถ้า “สภาพแวดล้อม” ที่คุณในฐานะผู้นำสร้างขึ้น มันมีขนาดเท่ากับ “โหลปลาทอง” ทีมของคุณก็จะไม่มีวันเติบโตไปได้ไกลกว่านั้น
----------
นี่คือแก่นของแนวคิดที่ชื่อว่า #ทฤษฎีฝาขวด (Lid Theory) จากหนังสือคลาสสิกของ John C. Maxwell ที่เราใช้เป็นหนึ่งในเสาหลักของการพัฒนาผู้นำ
.
ทฤษฎีนี้บอกไว้ว่า “ระดับความสามารถของผู้นำ คือฝาขวดที่ปิดกั้นเพดานการเติบโตของทั้งองค์กร”
.
ลองจินตนาการว่าทีมของคุณคือของเหลวที่อยู่ในขวด ส่วนตัวคุณคือ “ฝาขวด” ที่ปิดอยู่ด้านบน
.
📌ผู้นำแบบฝาขวดต่ำ คือ ผู้นำที่หยุดเรียนรู้และพัฒนาตนเอง พวกเขาอาจจะเก่งในระดับหนึ่ง แต่เมื่อทีมเริ่มเก่งขึ้น ไอเดียของทีมเริ่มท้าทายความเชื่อเดิมๆของผู้นำ
.
ผู้นำแบบนี้จะเริ่มรู้สึกไม่มั่นคง และจะ “กด” ศักยภาพของทีมเอาไว้โดยไม่รู้ตัวผลลัพธ์คือ ทีมที่เก่งแค่ไหน ก็จะเติบโตไปชนเพดานความสามารถของผู้นำได้เท่านั้น
.
เราจะเริ่มได้ยินประโยคอย่าง “อย่าทำเลย วิธีนี้ไม่เคยมีใครทำ” หรือ “ทำตามที่ผมบอกก็พอแล้ว”
.
📌ผู้นำแบบฝาขวดสูง (High Lid): คือผู้นำที่พัฒนาตัวเองอยู่เสมอ พวกเขาไม่กล้าที่จะจ้างคนที่เก่งกว่าตนเอง และมองว่าความสำเร็จของทีม คือความสำเร็จของตนเอง
.
ผู้นำแบบนี้จะคอย “ยกระดับฝาขวด” ของตัวเองให้สูงขึ้นอยู่ตลอดเวลา ทำให้ทีมมีพื้นที่ว่างในการเติบโตอย่างมหาศาล เพราะผู้นำเป็นคนเปิดโอกาส และยกระดับทีมอยู่เสมอ
----------
แล้วผู้นำจะ “ยกระดับฝาขวด” ของตนเองได้อย่างไร ?
.
ข่าวดีก็คือ… ฝาขวดนี้ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยพรสวรรค์ แต่มันคือทักษะที่ผู้นำทุกคนสามารถยกระดับได้ หากคุณตระหนักและพร้อมที่จะลงมือทำ
.
✅เปลี่ยนจาก ‘ผู้รู้’ เป็น ‘ผู้เรียนรู้’ (Be a Learn-it-all, not a Know-it-all) : คนที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองรู้ทุกอย่างแล้ว พวกเขาอ่านหนังสือ เข้าเรียนคอร์ส พูดคุยกับคนที่เก่งกว่า และมองหาความรู้ใหม่ๆ อยู่เสมอ เพราะเขารู้ว่า ทันทีที่เขาหยุดเรียนรู้ ฝาขวดของเขาก็จะหยุดนิ่ง
.
✅จ้างคนที่ท้าทายคุณ ไม่ใช่คนที่ยอมตามคุณ : ผู้นำแบบฝาขวดต่ำจะรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่ท่ามกลางคนที่ไม่เก่งเท่าตัวเอง แต่ผู้นำแบบฝาขวดสูงจะมองหาคนที่เก่งกว่า คนที่กล้าจะถกเถียงด้วยเหตุผล คนที่นำมุมมองใหม่ๆ เข้ามาเพราะพวกเขาไม่ได้มองหา “บริวาร” แต่กำลังมองหา “ขุนพล” ที่จะช่วยกันขยายอาณาจักร
.
✅เปลี่ยนจากการ ‘ออกคำสั่ง’ เป็นการ ‘ตั้งคำถาม’ : ผู้นำที่เก่งที่สุดไม่ได้มีหน้าที่ “ให้คำตอบ” ที่ถูกต้องที่สุด แต่มีหน้าที่ “ตั้งคำถาม” เพื่อปลดล็อกศักยภาพ และคำตอบที่ซ่อนอยู่ในทีม
.
เส้นทางการเป็นผู้นำคือการเรียนรู้ที่ไม่สิ้นสุด หากคุณเชื่อในการเติบโตที่ไม่หยุดนิ่งเช่นกัน กดติดตามเพจ NinePolthep ไว้ ให้เราเป็นเพื่อนคู่คิด เรียนรู้และเติบโตไปบนเส้นทางสายนี้ด้วยกันครับ
.
#NinePolthep #BusinessConsultant #Leadership #LidTheory #GrowthMindset #SelfDevelopment #SMEs
Load more

Contact Us

ปรึกษาธุรกิจกับ NinePolthep

ลงทะเบียนตอนนี้

รับส่วนลดพิเศษ 1,000 บาท