Life is Magical ฝ่าทางตันธุรกิจ Jewelry ไทย สู่การ Collab แบรนด์ดังระดับโลก

Life is Magical ฝ่าทางตันธุรกิจ Jewelry ไทย สู่การ Collab แบรนด์ดังระดับโลก

คุณเต้ – คุณแซน สองผู้บริหารสุดเจ๋ง จากผู้อยู่เบื้องหลังวงการจิวเวลรี่แบรนด์ไทย สู่การพลิกวิกฤติ ให้เป็น “Mystic” แบรนด์จิวเวลรี่น้องใหม่ ฝีมือคนไทย ที่นำเอาเรื่องราวความฝันและความทรงจำวัยเด็กของคนทั่วโลก ถ่ายทอดผ่านเครื่องประดับแสนประณีต ด้วยแนวคิด ‘Life is Magical’ ร่วมกับแบรนด์ดังระดับโลกอย่าง “Disney”

จุดเริ่มต้นของการสร้างแบรนด์ Mystic แบรนด์จิวเวลรี่น้องใหม่ ประสบการณ์ 30 ปี

เริ่มต้นจากครอบครัวคุณเต้ ทำธุรกิจแบรนด์จิวเวลรี่มายาวนานกว่า 30 ปี ซึ่งเป็นการค้าส่ง (Wholesale) มาตลอด เมื่อถึงจุดหนึ่งที่รู้สึกอยากทำธุรกิจค้าปลีก (Retial) บ้าง แต่กลับไม่สามารถทำได้ เพราะธุรกิจจิวเวลรี่ในประเทศ เป็นลูกค้า Wholesale ของธุรกิจครอบครัวคุณเต้เกือบทั้งหมด คุณเต้จึงมีไอเดียที่จะทำ ‘แบรนด์ของตัวเอง’ จึงได้มาปรึกษากับคุณแซน เพื่อนผู้มีประสบการณ์ในวงการ Online Marketing กว่า 10 ปี

สิ่งที่จุดประกายความคิดให้ Mystic เลือก Collab กับ Disney?

เริ่มจากคุณเต้ ต้องการขยายตลาดให้กับธุรกิจจิวเวลรี่ ให้สามารถเข้าถึงกลุ่มคนทุกเพศทุกวัยได้มากขึ้น จากเดิมที่ธุรกิจแบรนด์จิวเวลรี่ของครอบครัว เน้นผลิตจิวเวลรี่ที่โชว์เสน่ห์ของความเป็นไทยเป็นหลัก ซึ่งทำให้มีกลุ่มลูกค้าที่จำกัด ผนวกกับการที่คุณเต้ ได้เห็นเสน่ห์ของ Craft Jewelry ที่มีรายละเอียดแสนประณีตและงดงาม ทำให้รู้สึกถึงมนต์เสน่ห์ที่เต็มไปด้วยความ ‘Magic’

ซึ่งในแง่ของนักการตลาด คุณแซน มองว่า สามารถดึงเอา ‘Magic’ หรือเสน่ห์ที่เกิดขึ้นตลอดทั้งขบวนการผลิต Craft Jewelry ดังกล่าว มาต่อยอดในการสร้าง Branding ให้กับแบรนด์ Mystic ได้มากขึ้นเช่นกัน

ในสายตาของนักการตลาด ทำไมจึงมั่นใจว่าการ Collab กับ Disney คือคำตอบที่ใช่?

คุณแซนมีคำตอบหลายข้อมากสำหรับคำถามนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่สำคัญสำหรับการตลาด คือ การตลาดไม่ใช่เรื่องของการ Forced Sale (การบังคับขาย) แต่คุณแซนเชื่อว่าคำว่า Disney มาพร้อมกับคำว่า Emotional ตั้งแต่ต้น และเชื่อว่าบาง Emotional นั้น สามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้ทุกช่วงวัย ทุกช่วงเวลา เพราะบางเรื่องก็เป็นสากลมาก ๆ

ซึ่งในทางด้านธุรกิจจิวเวลรี่ คุณเต้ ขอเสริม 2 ส่วน คือ การทำงานกับ Disney ทำให้ดีไซน์ของจิวเวลรี่จากเดิมที่เป็นดีไซน์แบบไทยๆ ก็ปรับดีไซน์ให้สามารถเข้าถึงได้ทุกวัย และอีกส่วน คือ เมื่อได้ศึกษาตลาดจิวเวลรี่ของ Disney ทำให้ทราบว่า Segment เป็นอย่างไร Material ที่ใช้เป็นอย่างไร ซึ่งคุณเต้เห็น Segment หนึ่งที่สามารถผลิตสินค้าที่มีความเป็นพรีเมียม (Premium) ในราคาที่เข้าถึงได้ ซึ่งตรงกับแนวคิดของแบรนด์ Mystic เช่นกัน

หากเจ้าของธุรกิจ SMEs อื่นๆ อยาก Collab กับแบรนด์ดังเหมือนที่ Mystic ทำ จะได้หรือไม่?

คุณเต้เชื่อว่า หาก SMEs ต้องการ Re-Branding ตัวเอง เพื่อเปลี่ยนมุมมองของผู้คนในตลาดให้แตกต่าง อย่างที่แบรนด์อื่นๆ ในตลาดเลือกทำนั้น ก็สามารถทำได้ ซึ่ง Mystic ก็เลือกที่จะ Collab กับ Disney และประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี

Wonderful Magic Moment กับ Collection พิเศษ ของ Mystic x Disney

จุดแข็งของ Mystic คือเก็บทุก Element ใส่ใจทุกรายละเอียด จนออกมาเป็นคอลเลกชันที่ดึงเอาความ Magic ของ ‘แมลงตัวน้อย’ ผู้นำทางให้อะลาดินและเจ้าหญิงจัสมินได้พบรักกัน ถ่ายทอดสู่จิวเวลรี่คอลเลกชันพิเศษที่เรียกได้ว่า ‘Wonderful Magic Moment’ ซึ่งอยู่ในทุกความทรงจำของแฟนดิสนีย์ทุกๆ คน

ก้าวข้ามวิกฤติธุรกิจด้วยคำว่า “Nothing is Impossible” และ “ธุรกิจไม่เคยมีทางตัน”

SMEs ที่กำลังเจอวิกฤติ หรือกำลังกลัวที่จะก้าวข้ามผ่านปัญหาต่างๆ สำหรับคุณเต้ ในฐานะของเจ้าของธุรกิจจิวเวลรี่ ฝากไว้ว่า “อยากให้มีแผนสำรองสำหรับการทำธุรกิจ และเชื่อว่า Nothing is Impossible” ส่วนคุณแซน ในฐานะของนักการตลาด มองว่า “ธุรกิจไม่เคยมีทางตัน อยากให้กลับมาทบทวนธุรกิจของตัวเองให้หนักขึ้น ลึกขึ้น ก่อนที่จะวางแพลนในเรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะในทุกวันนี้ที่เทรนด์มันเปลี่ยนเร็วขึ้นมากๆ”

ทางออกของ ‘การบริหารจัดการสต็อก’ ในวันที่เทรนด์เปลี่ยนเร็ว และเราจำเป็นต้องเปลี่ยนตาม

สิ่งที่คุณเต้ทำในวันที่เจอปัญหาเทรนด์เปลี่ยนเร็ว จนกระทบต่อการบริหารจัดการสต็อก ไม่ใช่การลดราคาสินค้า (Discount) เพราะอย่างน้อย หากวันหนึ่งตลาดเดิมไปต่อไม่ได้แล้ว มูลค่าสินค้าของเราก็ยังคงอยู่… ซึ่งคุณนายเสริมว่า นี่คือการคงไว้ซึ่งโครงสร้างราคาในตลาด เพราะเมื่อใดก็ตามที่เราเล่นกับการลดราคาบ่อยๆ ลูกค้าหรือผู้บริโภคก็จะติดการรอให้แบรนด์ลดราคา ซึ่งการสร้างมาตรฐานราคา คงไว้ของมูลค่าสินค้า ก็ถือเป็นการซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภคทางหนึ่งเช่นกัน

คุณเต้ ในฐานะเจ้าของธุรกิจจิวเวลรี่ได้ให้คำแนะนำในเรื่องนี้ไว้ 2 มุม คือ 1. การทำ Market Expansion และ 2. การทำ Product Expansion ซึ่งเป็นสิ่งที่คุณเต้เลือกทำ คือ การลองส่งสินค้าเดิมไปหาตลาดใหม่ๆ หรือลองตลาดเดิมกับสินค้าใหม่ๆ ซึ่งในตอนนี้ก็ตั้งเป้าหมายไว้ว่า อยากจะ Expansion ให้มากที่สุดทั้งตลาดเดิม และตลาดใหม่ ไปพร้อมกัน

หลังจากที่ได้คุยกับคุณเต้และคุณแซน สิ่งที่ผมคิดว่าทุกท่าน จะได้เรียนรู้ไปด้วยกัน เมื่อเจอวิกฤติธุรกิจ นั่นก็คือ

1. ซื่อสัตย์กับลูกค้าปัจจุบันของตัวเอง

เหมือนอย่างที่คุณเต้เลือกที่จะรักษาความสัมพันธ์และซื่อสัตย์กับลูกค้าขายส่งของตัวเองกว่า 300 ราย โดยการไม่ลดราคาสินค้า และรักษามูลค่าเดิมของสินค้าไว้อยู่ แทนการรีบหากระแสเงินสด จนไม่สนใจคู่ค้าหรือพาร์ทเนอร์ด้วยกัน

2. แก้ปัญหาธุรกิจโดยใช้กลยุทธ์การขยายตลาด

ซึ่งคุณเต้แบ่งออกเป็น 2 เรื่อง คือ 1. การทำ Market Expansion ขยายออกไปตลาดใหม่ๆ โดยใช้สินค้าเดิมที่เรามีอยู่แล้ว และ 2. การทำ Product Expansion โดยใช้ประสบการณ์การทำจิวเวลรี่ที่มีอยู่ มาพัฒนาสินค้าใหม่ร่วมกับคุณแซน เพื่อให้เกิดสินค้าใหม่ๆ ต่อยอดธุรกิจเดิมของตัวเอง จนเกิดเป็นแบรนด์ Mystic

3. เทรนด์การตลาดเปลี่ยน Digital Marketing

จึงสำคัญ แต่จะสร้างผลลัพธ์ที่ดีได้ ต้องผ่านการทำการบ้านให้มากพอ ซึ่ง Mystic จับเอาจุดเด่นของความเป็นไทย ผสมผสานกับความเป็นนานาชาติจาก Disney จนออกมาเป็นสินค้าใหม่ ที่เต็มไปด้วยความละเอียดลออของคนไทย แต่มีเรื่องราวที่น่าสนใจของ Disney เพื่อส่งต่อให้กับลูกค้าที่เป็นกลุ่มเป้าหมาย

และนั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไม Mystic จึงสามารถสร้างจุดยืนให้กับแบรนด์ของตัวเอง ให้อยู่ในตลาดระดับที่กลุ่มเป้าหมายมีกำลังซื้อสูงได้ นั่นเองครับ

ขอขอบคุณการแชร์ข้อมูลและประสบการณ์ดีๆ จาก : คุณเต้ – คุณแซน เจ้าของธุรกิจจิวเวลรี่ “Mystic” และสามารถติดตามผลงานและสินค้าแบรนด์ Mystic เพิ่มเติมได้ทาง Facebook : MYSTiC : Life is Magical และหน้าร้านทุกสาขาครับ